"สติ" กับ "ดำริ"

กระทู้: "สติ" กับ "ดำริ"

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. Admax said:

    "สติ" กับ "ดำริ"

    -ผมมีคำถามเรื่อง "สติ" กับ "ดำริ" อาจจะคำถามที่ดูง่าย แต่อาจจะประกอบไปด้วยประโยชน์แก่หลายคน และ บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแยกจากกันยังไง หรือ เมื่อรู้ก็มักจะคิดไปโดยส่วนเดียวว่านั่นคือ "สติ" ซึ่งไม่ใช่ "ดำริ" จะจริงเท็จอย่างไรรบกวนชี้แจ้งด้วยครับ

    ยกตัวอย่างเช่น
    - รูปแบบที่ 1 : ผมกะลังคิดถึงญาญ่าซึ่งเป็นแฟนผมเมื่อคิดแล้วผมก็เกิดความรักห่วงหาญาญ่ามาก นึกถึงเรื่องราววันเวลาเก่าที่เราอยู่ด้วยกัน ผมไม่รู้จะหักห้ามใจยังไงไหว รวมทั้งคิดถึงในตัวของคิมเบอรี่แฟนผมอีกคนด้วย ยิ่งคิดยิ่งห่วงหาอาทรนัก
    - รูปแบบที่ 2 : หรือผมคิดถึงบางคนที่เป็นเรื่องราวเก่าๆซึ่งบุคคลนั้นได้ทำให้เราไม่พอใจอย่างมาก พอนึกแล้วก้อโมโห อยากจะฆ่ามันทิ้งเสียให้ได้ เจ็บใจนักที่มันมาด่าเรา มาทำร้ายเราจนเสียหายยับเยิน

    ชั่วเวลาขณะหนึ่ง(ไม่รู้ว่าตอนไหนเพราะไม่เคยบังคับมันได้ อิอิอิ)
    - รูปแบบที่ 1 : พลันนั้นก็เกิดความรู้ตัวขึ้นมาแล้วเป็นคำบริบทอยู่ในใจว่า โอ้วแม่เจ้าเรากำลังคิดอยู่ กำลังตกอยู่ในความคิด กำลังส่งจิตออกนอกไปหา ญาญ่า และ คิดเบอร์รี่ แฟนเราทั้ง 2 คน ทั้งๆที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ ทำให้เรารู้สึกตรึงใจ โหยหวน กรีดหวิวที่กลางใจ ปานใจจะขาดรอน บางครั้งมีหยดน้ำใสๆไหลออกมาจากตาตามความรู้สึกนึกคิดนั้นๆ
    - รูปแบบที่ 2 : พลันนั้นก็เกิดความรู้ตัวขึ้นมาแล้วเป็นคำบริบทอยู่ในใจว่า โอ้วแม่เจ้าเรากำลังคิดอยู่ กำลังตกอยู่ในความคิด กำลังส่งจิตออกนอกไปหา เรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เรื่องที่เราไม่ชอบไม่พอใจที่มันผ่านมาแล้วเกิดเป็นอารมณ์โกรธ เอาความจำได้จำไว้มาปรุงแต่งต่อจนเกิดเรื่องราวให้มีโทสะเกิด

    ถามนะครับ
    1. ส่วนใดคือ "สติ" ส่วนใดคือ ความคิด
    2. เรื่องสภาพของ สติ กับ ดำริ
    2.1 สภาพจริงของสติที่เกิด คือ ระลึกรู้สภาพจริงๆในตอนนั้นว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น อัดอั้น คับแค้น ใจหวิว ขุ่นมัว ใจสั่น เจ็บ ปวด ร้อน เย็น ใช่ไหมครับ
    2.2 ถ้าสภาพสติเป็นแบบในข้อที่ 2.1 หลังจากที่เราเกิดสติระลึกรู้แค่ในไม่กี่นาโนเสี้ยววินาที (สมมติว่ามันเร็วกว่าเล็กกว่าเสี้ยววินาทีละกันนะครับ อิอิอิ) สิ่งที่เราจะรู้ต่อมาคือ สมมติ+บัญญัติ เป็นเรื่องราวอยู่ในใจว่าขณะนี้เรากำลังตกอยู่ในความคิดบ้าง ขณะนี้เรากำลังส่งจิตออกนอกบ้าง ขณะเรานี้กำลังเกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง นี่คือควาดำริใช่ไหมครับ
    2.3 หากสภาพของ สติ และ ดำริ ไม่ใช่อย่างที่ถามในข้อ 2.1 และ 2.2 ฉะนั้น สติ จริงๆก็คือ รู้สมมติ+บัญญัติ คิดเป็นเรื่องราวอยู่ในใจว่าขณะนี้เรากำลังตกอยู่ในความคิด ขณะนี้กำลังส่งจิตออกนอก ขณะนี้กำลังเกิดรัก โลภ โกรธ หลง นี่คือ "สติ" เพียงส่วนเดียว ใช่หรือไม่ครับ

    พยายามแยกเป็นข้อๆแต่ดูเหมือนคำตอบที่ได้มันจะคล้ายกันไหมนี่

    รบกวนท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวชี้แนะเพื่อให้ผมได้เข้าใจถูกต้องด้วยครับ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"


    สวัสดีคับ คุณ Admax

    งี้ก่อนละกันนะคับ
    ลองพิจารณาแบบสั้นๆ ง่ายๆ ตามนี้ก่อนซักนิดนึงอ่ะนะคับ (ช้าๆ...ชัดๆ อิอิ)

    สติ (สติเจตสิก)
    เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เป็นสภาพที่ระลึกได้ในทางที่ดีงาม
    ดังนั้น เมื่อมีสติเกิดขึ้นครั้งใด ก็ยับยั้งอกุศลไว้ได้ในขณะนั้น

    คิด (วิตกเจตสิก)
    เป็นสภาพธรรมที่เป็นได้ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
    เป็นสภาพที่ติดตามไปในอารมณ์
    คือนึกคิดในอารมณ์นั้นนั่นเอง

    ขณะใดที่เกิดกุศลจิต
    มีการนึกคิดไปในเรื่องต่างๆ ในทางที่ดีงาม...ก็มีสติเกิดร่วมด้วย
    สติระลึกได้ในทางที่ดีงาม
    การนึกคิดที่เกิดขึ้นก็คิดไปในทางที่ดีงาม...เป็นไปในกุศล

    ขณะใดที่เกิดอกุศลจิต
    มีการนึกคิดไปในเรื่องต่างๆ ในทางที่ไม่ดีงาม...ก็ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย
    การนึกคิดที่เกิดขึ้นก็คิดไปในทางที่ไม่ดีงาม...เป็นไปในอกุศล

    พูดง่ายๆ ว่าขณะใดที่เป็นอกุศลจิต
    ไม่ว่าเราจะบอกว่าระลึกอะไรต่อมิอะไรได้ก็ตาม...แต่ว่าไม่เป็นไปในทางที่ดีงาม
    แบบนี้ไม่ใช่สติ...ไม่มีสติ...เรียกว่าขาดสติ...หลงลืมสติ
    แต่ถ้าขณะใดที่กุศลจิตเกิด...ขณะนั้นมีสติเกิดร่วมด้วยแล้ว

    สติที่ระลึกได้ (ในทางที่ดีงาม) นี้ก็มีหลายระดับน่ะคับ เช่น...
    - ขณะที่ให้ทาน...ขณะนั้นมีสติระลึกได้เป็นไปในทาน
    จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม...ขณะนั้นสติในขั้นทานเกิดแล้ว

    - ขณะที่เว้นจากการกระทำชั่วเบียดเบียนผู้อื่น
    ขณะนั้นก็มีสติระลึกได้เป็นไปในศีล
    จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม...ขณะนั้นสติในขั้นศีลเกิดแล้ว

    - ขณะใดที่ระลึกได้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
    รู้ตัวทั่วพร้อมในสภาพธรรมทั้งหลาย
    (รูป นาม หรือขันธ์ 5 หรือ กาย เวทนา จิตธรรม...แล้วแต่จะเรียกอ่ะนะคับ)
    ขณะนั้นเป็นสติปัฏฐาน




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"


    อ่ะ พอเข้าใจตามนั้นแล้ว
    ทีนี้ก็คงจะพอได้คำตอบแล้วใช่มั้ยคับ
    เพราะเราเองจะต้องรู้จิตใจในขณะนั้นเอง...จริงมั้ยคับ

    จากตัวอย่างที่คุณ Admax ยกมา
    จงเติมคำในช่องว่าง อิอิ

    - 1 และ 2 ในตัวอย่างแรก มีวิตกเจตสิกที่นึกคิดไปในเรื่องนั้นๆ แล้วมีสติมั้ยคับ.................

    - 1 และ 2 ในตัวอย่างสอง มีวิตกเจตสิกที่นึกคิดไปในเรื่องนั้นๆ แล้วมีสติมั้ยคับ..................





    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  4. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"


    สำหรับประเด็นต่อไป

    2.1 สภาพจริงของสติที่เกิด คือ ระลึกรู้สภาพจริงๆในตอนนั้นว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น อัดอั้น คับแค้น ใจหวิว ขุ่นมัว ใจสั่น เจ็บ ปวด ร้อน เย็น ใช่ไหมครับ
    อ่ะคับ...แล้วสติปัฏฐานต้องรู้ด้วยว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ
    ที่ปรากฏให้สติระลึกรู้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล


    2.2 ถ้าสภาพสติเป็นแบบในข้อที่ 2.1 หลังจากที่เราเกิดสติระลึกรู้แค่ในไม่กี่นาโนเสี้ยววินาที (สมมติว่ามันเร็วกว่าเล็กกว่าเสี้ยววินาทีละกันนะครับ อิอิอิ) สิ่งที่เราจะรู้ต่อมาคือ สมมติ+บัญญัติ เป็นเรื่องราวอยู่ในใจว่าขณะนี้เรากำลังตกอยู่ในความคิดบ้าง ขณะนี้เรากำลังส่งจิตออกนอกบ้าง ขณะเรานี้กำลังเกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง นี่คือควาดำริใช่ไหมครับ
    อ่ะคับ...ขณะที่กำลังรู้เป็นเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้น
    ก็คือการนึกคิด (วิตกเจตสิก) ที่เกิดขึ้นโดยมีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์

    แต่ก็....ไม่ใช่ว่าพอสติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมโดยมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์
    แล้วจะไม่มีวิตกเจตสิกอ่ะนะคับ...มีคับมี
    ขณะที่สติปัฏฐานเกิดก็มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วยคับ

    ดังที่กล่าวไว้แล้วในความเห็นข้างต้นอ่ะคับ
    ขณะใดที่เป็นกุศลจิต...มีสติเจตสิกและวิตกเจตสิกด้วย
    ระลึกได้เป็นไปในกุศล มีการคิดเป็นไปในกุศล

    ถ้าเป็นในขั้นทาน
    ก็มีสติเจตสิกและวิตกเจตสิก
    ระลึกได้เป็นไปในทาน คิดจะกระทำทาน
    (มีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์)

    ถ้าเป็นในขั้นศีล
    ก็มีสติเจตสิกและวิตกเจตสิก
    ระลึกได้เป็นไปในการเว้นทุจริต คิดไม่กระทำทุจริตเบียดเบียน
    (มีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์)

    ขณะที่สติปัฏฐานเกิด (มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์)
    ก็มีสติเจตสิกระลึกรู้สภาพปรมัตถธรรมที่ปรากฏ (สั้นและไว)
    และก็มีวิตกเจตสิกคิดถึงสภาพปรมัตถธรรมนั้นประกอบกันไปด้วย (สั้นและไวเช่นกัน)
    ในขณะนั้น...ทั้งสติเจตสิกและวิตกเจตสิกมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ทั้งคู่
    แต่ก็สั้นและไวมาก...ไม่ทันได้คิดเป็นเรื่องราวอะไรเลยอ่ะคับ

    ทว่า...สืบต่อกันทันทีอย่างไว
    ขณะจิตต่อมา...ก็คิดถึงคำเรียก หรือความหมาย หรือเรื่องราว
    ในลักษณะอาการของปรมัตถธรรมที่เพิ่งปรากฏผ่านพ้นไปตะกี้ทันที
    จึงมีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์แทรกสลับกันไปด้วย

    เคยสังเกตมั้ยคับว่า...บางทีเวลาที่สติระลึกรู้สภาพธรรมแล้ว
    จะมีตัวเราคอยพากษ์ตามไปด้วยอยู่ในใจใช่มั้ยคับ...แบบนั้นแหละ
    ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าต้องห้ามคิด หรือห้ามรู้คำ ห้ามรู้ความหมาย
    แต่ว่าขณะนั้นจะรู้ความต่างกันของขณะจิต
    ว่าขณะใดมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์...ขณะใดมีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์





    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"


    2.3 หากสภาพของ สติ และ ดำริ ไม่ใช่อย่างที่ถามในข้อ 2.1 และ 2.2 ฉะนั้น สติ จริงๆก็คือ รู้สมมติ+บัญญัติ คิดเป็นเรื่องราวอยู่ในใจว่าขณะนี้เรากำลังตกอยู่ในความคิด ขณะนี้กำลังส่งจิตออกนอก ขณะนี้กำลังเกิดรัก โลภ โกรธ หลง นี่คือ "สติ" เพียงส่วนเดียว ใช่หรือไม่ครับ
    ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นอ่ะนะคับ
    สติ เป็นสภาพที่ระลึกได้ และเป็นไปในกุศล
    แล้วแต่ว่าเป็นสติในขั้นใด
    ถ้าสติเจตสิกระลึกเป็นไปในทานหรือศีล
    วิตกเจตสิก ที่เกิดร่วมกันนั้น ก็นึกคิดเป็นเรื่องราวอันน้อมไปในกุศลนั้นๆ เช่น
    คิดเป็นเรื่องราวที่จะให้ทาน คิดเป็นเรื่องราวที่จะเว้นจากการทำชั่ว
    คิดเป็นเรื่องราวที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ ต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น
    ซึ่งขณะนั้นทั้งสติเจตสิกและวิตกเจตสิกก็มีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์อ่ะคับ

    สติเจตสิก ไม่ได้ทำหน้าที่คิด
    แต่ทำหน้าที่ระลึกรู้ ระลึกได้ (ในทางที่ดีงาม)
    มีบัญญัติธรรมหรือปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ก็ได้
    แล้วแต่ว่าสติระลึกเป็นไปในขั้นใด

    วิตกเจตสิก ทำหน้าที่ตรึกนึกคิด
    คิดถึงคำเรียก คิดถึงความหมายต่างๆ
    คิดเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น
    และถ้าเรื่องราวที่คิดเป็นไปในทางที่ดีงาม ก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย
    ทั้งสติเจตสิกและวิตกเจตสิก ในขณะนั้นก็มีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์
    แต่ถ้าคิดเป็นไปในทางที่ไม่ดีงาม
    ก็มีแต่วิตกเจตสิกที่คิดๆๆๆ ไป...แต่ไม่มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลยน่ะคับ

    และวิตกเจตสิกนี้นอกจากจะคิดเป็นเรื่องราวยาวๆ แล้ว
    แม้ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพธรรม...มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์
    วิตกเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้นก็คิดถึงสภาพธรรมที่ปรากฏนั้นนั่นแหละ
    เพียงแต่ขณะจิตนั้นยังไม่ได้คิดเป็นเรื่องราวใดๆ
    เป็นแต่เพียงติดตามไปในอารมณ์นั้น...อย่างสั้นและไว
    แล้วขณะจิตต่อไปนั่นแหละคับ...ทีนี้คิดยาวววววววว เป็นเรื่องเป็นราวเลยอ่ะคับ
    (อันนี้ประสบการณ์ตรงของคุณ Admax ไม่ใช่หรอคับ อิอิ)

    อนุโมทนาในกุศลจิต
    ที่ใครศึกษาและประพฤติปฏิบัติในธรรมนะคับ...ซ้าทุ





    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. Admax said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"

    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ D E V
    และวิตกเจตสิกนี้นอกจากจะคิดเป็นเรื่องราวยาวๆ แล้ว
    แม้ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพธรรม...มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์
    วิตกเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้นก็คิดถึงสภาพธรรมที่ปรากฏนั้นนั่นแหละ
    เพียงแต่ขณะจิตนั้นยังไม่ได้คิดเป็นเรื่องราวใดๆ
    เป็นแต่เพียงติดตามไปในอารมณ์นั้น...อย่างสั้นและไว
    แล้วขณะจิตต่อไปนั่นแหละคับ...ทีนี้คิดยาวววววววว เป็นเรื่องเป็นราวเลยอ่ะคับ
    (อันนี้ประสบการณ์ตรงของคุณ Admax ไม่ใช่หรอคับ อิอิ)

    อนุโมทนาในกุศลจิต
    ที่ใครศึกษาและประพฤติปฏิบัติในธรรมนะคับ...ซ้าทุ
    เดฟ

    อิอิอิ อันนี้มันคุณสมบัติเฉพาะตัวครับ 5555 ขอบพระคุณมากครับที่ชี้แนะให้กระจ่างใจครับ

    งั้นผมขอสรุปสั่นๆว่า
    - สติเจตสิก มีสภาพระลึกรู้เท่านั้น คือ รู้สภาพธรรม รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งปัจจุบันขณะ หรือ ที่ตรองถึงด้วยสัญญา พูดง่ายๆคือหวนกลับไปคิดคำนึงถึงนั่นแหละ แม้ย้อนหลังเพียงเสี้ยววินาทีก็ถือว่าเป็นการคิดย้อนตามหลังด้วยสัญญาแล้วใช่มั้ยครับ
    - วิตกเจตสิก คือ เกิดร่วมกับสภาพที่ระลึกรู้ คิดตามสภาพที่รู้ และ สามารถปรุงสร้าง สมมติ+บัญญัติ ตามอารมณ์นั้นๆที่เสวยอยู่ (จะมากจะน้อยตามแต่ความหล่อและทรงผมใช่ปะครับ)

    ผมสรุปถูกมั้ยครับ ขอบพระคุณอย่างสูง

    ลืมตอบคำถามในช่องว่าง
    ตัวอย่างที่ 1 ในรูปแบที่ 1-2 ไม่มี สติ มีแต่ วิตก
    ตัวอย่างที่ 2 ในรูปแบที่ 1-2 มี สติ+วิตก

    อิอิอิ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  7. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"


    สติเจตสิก ไม่ใช่สภาพที่ตรึกนึกคิด
    แต่เป็นสภาพที่ระลึกได้ ไม่หลงลืม
    แม้ผ่านมานานแล้วก็ระลึกได้ เช่น เคยทำบุญกุศลต่างๆ ไว้
    ต่อมา...เวลาที่กุศลจิตเกิด
    สติเจตสิกทำหน้าที่ระลึกได้ในกุศลที่เคยกระทำ
    วิตกเจตสิกทำหน้าที่ตรึกนึกย้อนไปในสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
    และที่ย้อนๆ ไปได้ในอดีตก็เพราะมีสัญญาเจตสิกทำหน้าที่ทรงจำไว้
    ทั้งสติ วิตก สัญญา ล้วนประกอบเข้าด้วยกัน...เกื้อกูลกันไปพร้อมๆ กันในขณะนั้น

    สำหรับสติปัฏฐาน สติเจตสิกระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
    หรือที่เราเรียกว่าปัจจุบันขณะ
    คำว่าปัจจุบันขณะในทีนี้คือ กำลังรู้อารมณ์ใด ก็ระลึกได้ในอารมณ์นั้นนั่นเอง
    แต่ถ้าจะกล่าวโดยวิถีจิตมันก็เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว
    คือพึ่งผ่านไปหยกๆ ตะกี้นี้หลังไวๆ อย่างกระชั้นชิดนั่นเองอ่ะคับ

    สำหรับคำตอบที่เติมในช่องว่าง....ถูกต้องคับ

    ***********************************************

    คือบางทีเราก็อาจจะงงๆ กับคำที่ใช้สื่อสารน่ะคับ
    เช่นคำว่า ระลึก กับ นึกคิด
    แต่ให้ลองสังเกตจากของจริงๆ ที่เกิดขึ้น

    ติ๊ต่างว่า...กำลังพูดคุยกับเพื่อนๆ อยู่
    ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า...ที่เห็นตรงหน้านั้นเป็นเพียงสีสันวัณณะต่างๆ
    ที่ได้ยินก็เป็นเพียงเสียงที่ดังๆ ค่อยๆ สูงๆ ต่ำๆ ทุ้มๆ แหลมๆ
    นี่คือการระลึกได้ในสภาพธรรมที่ปรากกฏ
    แต่ว่ามันมีอีกอาการนึงที่ติดตามมาด้วย
    คือมีการนึกคิดติดตามไปในสิ่งที่กำลังระลึกรู้อยู่
    ซึ่งมันไวติดๆ กันมาเลย...ใกล้กันมากจริงๆ
    ถ้าสติปัฏฐานไม่ชัดพอ มันก็ผ่านไปเลยอ่ะคับ
    หรือเวลาที่นึกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อวันก่อนได้ทำบุญใส่บาตร
    ทันทีที่หวลย้อนไปตรึกนึกถึง ก็ระลึกได้ทันทีในบุญกุศลที่ได้กระทำไว้

    คือมันติดตามกันมาจนเราอาจจะใช้คำว่า "ระลึกนึกคิด" หรือ "ระลึกนึกถึง" ก็ได้
    เพราะมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน...สติเจตสิก วิตกเจตสิก มันเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะจิตนั้นเลย
    ทีนี้อยู่ที่ว่าสามารถจะรู้ที่ตัวไหนก่อน ลักษณะของตัวนั้นก็ปรากฏก่อนนั่นเองอ่ะคับ





    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  8. Admax said:

    Re: "สติ" กับ "ดำริ"

    สาธุ ขอบคุณมากครับกระจ่างใจแล้วครับ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ