สาธุกับคุณโจ๋และพี่เดฟกับคุณอุบาสิกากับกระทู้ที่มีประโยชน์นี้ครับ ผมว่าจะถามอยู่เหมือนกันในกระทู้นี้ไม่ตั้งกระทู้ใหม่ ไม่รู้ว่าจะขัดกับกระทู้ไหมแต่ผมดูแล้วมันก็เกี่ยวกับเจตสิกและความเป็นไปใน รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกันดังนี้ครับ
กาลหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ทำสมาธิเล่นๆไป เพราะไม่ได้ทำมานานต้องกลับมาปฏิบัติก่อนเขียนวิทยานิพนธ์
ซึ่งขณะทำอยู่นั้นความสงบไม่มีเลย ฟุ้งซ่านตลอดไม่เป็นสมาธิ
แต่ซักพักเมื่อเอาจิตจับที่ลมหายใจ
มันรู้สึกวูบเข้าในสภาพหนึ่งๆ หายใจเข้าจิตจดจ่อตามลมหายใจ
ไปรู้ลมหายใจเข้าเห็นกายตนในอสุภะตามอาการทั้ง 32
คือเห็นทะลุหนัง เนื้อและเส้นเอ็นเส้นเลือดน้อยใหญ่ กระดูก เป็นต้น (ซึ่งไม่ได้สร้างมโนภาพเอา แต่อาจจะเป้นสัญญาค้างจากการพิจารณาอสุภะก็เป็นได้)
จนเห้นเหลือแต่ลมหายใจไหลผ่านโพรงจมูก ลงหลอดลม ลงคอ ไหลงมาที่ปอด ส่งต่อไปท้องน้อย
เมื่อหายใจออก ลมจากท้องน้อยไหลย้อนกลับตามลำดับนั้น
ส่วนนี้ผมรู้ว่าคงเป็นสัญญาค้างจำจากการพิจารณาอสุภะและจับเอาความรู้สึกที่ลมไหลเข้าออก.....................
เมื่อผมทรงอารมณ์จิตในสภาพนั้นสักพักก็เห็นในจิตตานุสติปัฏฐาน
ไม่ได้เห็นเป็นแสงหรือสีๆเหมือนเมื่อก่อนตอนมีสมาธิจิตจากความว่าง
คือเป็นความรู้สึกรับรู้ถึงจิตตน(ไม่ได้เห็นเป็นมโนภาพ)
เกิดความรู้สึก และ ความคิด เกิดดับสลับกันไปมาไม่หยุด
การเกิดมันเหมือนพลุที่พุ่งขึ้นฟ้าแล้วแตกออกเป็นความตั้งอยู่
พอพลุนั้นเริ่มที่จะมอดดับไปพลุอีกลูกก็คือจิตอีกดวงก็เกิดขึ้นมาแทนที่
จิตเดิมดับจิตใหม่นี้แตกออกเป็นความรู้สึกนึกคิดสภาพจิตต่อๆมา
ทำให้ผมเห็นว่า สภาพวิตกเจตสิกหรือความคิดมันเกิดสลับกับจิตแทบทุกดวงที่ให้ความรู้สึก
เช่น เมื่อเราเกิดเสพย์เสวยความรู้สึกใดๆอยู่ ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง สุข ทุกข์ เฉยๆ
(โลภะเจตสิก โทสะเจตสิก โมหะเจตสิก และ เวทนาเจตสิก(รวมในสุข ทุกข์ เฉยๆ(ไม่ใช่ว่างในเอกัคตานะครับ)
ตรงนี้ผมเอาความรู้สึกรวมไปก่อนนะยังไม่แยก ส่วนที่รู้แยกจะมีในคำถามข้อถัดไปครับ ยาวมากกกกกกกกกก อิอิอิอิ)
เมื่อนั้นจะมีความคิด(วิตกเจตสิก)เกิดดับสลับกับจิตที่เข้าไปรู้สภาพความรู้สึกนั้นๆสลับกันไปมาเสมอๆ
คำถามที่ 1 ความคิดมักเกิดตามความรู้สึกที่จิตเข้าไปรู้หรือเสวยอยู่ใช่หรือไม่ และ มันจะเกิดสลับกกันไปมาแทบทุกความรู้สึกเลยดังที่ผมรู้สึกไหม
-------------------------------------------------------------------------------------------
ทีนี้เมื่อผมไปพิจารณาดูในสภาพจริงคือปรมัตถธรรมว่า
ในขณะที่จิตกำลังดำเนินไปใน รัก โลภ โกรธ หลง หรือ กุศลจิตใดๆอยู่นั้นความรู้สึกเป็นยังไง
เมื่อรู้สภาพปรมัตถ์ความรู้สึกนั้นแล้ว ความคิดสมมติบัญญัติของสภาพนั้นก็เกิดทันที
สลับไปมากับการรู้สภาพจริง
ทีนี้จะไปรู้ในเวทนานุสติปัฏฐานสลับกับอารมณ์ความรู้สึกนั้นๆ กลับไปรู้ไม่ได้
คือว่า เมื่อไปรู้เวทนา จิตมันจะพิจารณาได้เพียง สภาพความรู้สึกจริงๆของเวทนา เกิดดับสลับกันกับบัญญัติของสภาพจริงแห่งเวทนานั้นๆเท่านั้น ไปรู้อย่างอื่นไม่ได้
เมื่อไปรู้ในรัก โลภ โกรธ หลง จิตมันก้จะพิจารณาได้เพียง สภาพความรู้สึกจริงๆของความปรงแต่งอารมณ์ความรู้สึก เกิดดับสลับกันกับบัญญัติของสภาพจริงแห่งจิตสังขารนั้นๆเท่านั้น ไปรู้อย่างอื่นไม่ได้
คำถามที่ 2 ที่ผมรู้สึกได้นี้เป็นจริงหรือไม่ หากเป็นจริงเช่นนั้น นี่คือคุณลักษณะของสังขารขันธ์และเวทนาขันธ์ใช่หรือไม่ และ ด้วยเหตุนี้หรือไม่ จึงชื่อว่าเป็นอินทรีย์ ด้วยนัยยะที่เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งการอุปการะ
ส่วนคำถามที่ 3 ลืมไว้นึกได้จะมาถามใหม่ครับ อิอิ
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ