น้ำตาเกิดมาจากอะไร

กระทู้: น้ำตาเกิดมาจากอะไร

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว Praw

    Praw said:

    Thumbs up น้ำตาเกิดมาจากอะไร

    สวัสดีค่ะ กัลยาณมิตรทุกท่าน

    วันนี้ขอสอบถามสักเรื่องนะค่ะ คือสงสัยว่า.........





    น้ำตาที่ไหลออกมาจากตาเพราะว่าความเสียใจ กับ
    น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะแสบตาหรือระคายเคืองตาจากการปอกหัวหอม
    หรือเราลืมตาในที่ควันไฟแยะๆๆ กะทำให้น้ำตาไหลออกมานะค่ะ
    อ้อ มีหาวแล้วน้ำตาไหล ไรงี้อะค่ะ
    สาเหตุของน้ำตาที่เกิดมานี้ เกิดมาจากอะไรค่ะ
    แล้วที่เกิดของน้ำตานั้นเหมือนกันป่าวค่ะ
    อืมมตามความคิดพราวรู้สึกว่าน่าจะต่างกัน อิอิ...
    แต่ไม่รู้ว่าในความเป็นจิงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่อะค่ะ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย Praw : 06-08-2013 เมื่อ 02:20 PM

     
  2. รูปส่วนตัว chocobo

    chocobo said:
    กราบสวัสดีครับคุณพราว


    น้ำตาก็เป็นรูป ซึ่งรูปก็มีสมุทฐานเกิดได้ต่างๆกัน คือเกิดด้วย อุตุ จิต อาหาร หรือ กรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง กลุ่มของรูป(กลาป)แต่ละกลุ่ม จะเกิดได้โดยอาศัยสมุทฐานเดียวเท่านั้นจากทั้งหมด
    ถ้ารูปกลุ่มนั้นเกิดจากอุตุ ก็เรียกว่าอุตุชรูป
    ถ้าเกิดจากจิต ก็เป็นจิตตชรูป
    ถ้าเกิดจากอาหารก็เป็น อาหารชรูป
    ถ้าเกิดจากกรรมก็เป็นกัมมชรูป

    สำหรับน้ำตา ก็เป็นรูปอย่างหนึ่ง เกิดจากสมุทฐานใดสมุทฐานหนึ่งจากทั้ง 4 ก็ได้ หากวินิจฉัยโดยคร่าวๆก็อาจจะเป็นได้ดังนี้

    เช่นถ้าน้ำตาเกิดเพราะฝุ่นเข้าตา ก็เป็นรูปที่เกิดจากอุตุ
    ถ้าเกิดเพราะปลื้มปีติ หรือเกิดเพราะเศร้าโศกเสียใจ ก็เป็นรูปที่เกิดเพราะจิต

    ก็โดยประมาณนี้น่ะครับ โดยที่จริงๆแล้วรูปจะเกิดเพราะเหตุใด รูปก็เป็นรูปอยู่อย่างนั้นแหละ คือเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่นามธาตุที่รู้อารมณ์ คือไม่ใช่จิต เจตสิก และก็ไม่ใช่นามธาตุที่ไม่รู้อารมณ์ คือไม่ใช่นิพพาน จึงควรที่จะทราบว่า ประโยชน์ของการรู้ว่ารูปแต่ละรูปมีสมุทฐานเกิดต่างๆกันนั้น ก็เพื่อให้ทราบว่า รูปเป็นธรรมะเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน เพื่อละความเห็นว่ารูปเป็นของๆเรา เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    และที่จริง น้ำตาก็ไม่ได้มี เพราะเหตุว่า อาศัยสีอย่างนั้นๆ เช่นสีใสๆบ้าง สีขุ่นบ้าง อาศัยลักษณะอย่างนั้นๆ คือมีสันฐานเป็นลักษณะกลมๆบ้าง ไหลเป็นสายลงมาบ้าง หรือ อาศัยบัญญัติเรื่องราวที่ว่า เป็นน้ำที่ไหลออกจากดวงตา อย่างนั้นๆ บ้าง ก็บัญญัติว่า นี่คือน้ำตา

    แต่น้ำตาจริงๆ มีก็หามิได้ เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ คือสี(วัณณรูป)เท่านั้น น้ำตาก็เป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นมาภายหลังโดยอาศัยปรมัตถธรรมที่มีจริงๆ แต่น้ำตาไม่ใช่ปรมัตถธรรม


    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย chocobo : 06-09-2013 เมื่อ 10:42 AM
     
  3. รูปส่วนตัว Praw

    Praw said:
    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในความใจดีของคุณโจ๋ด้วยนะค่ะ
    พราวกะอุตสาหยกตัวอย่างมาถาม อิอิ.... ไม่ยอมตอบตัวอย่างพราวรุ้ย
    น่ากลัวพราวต้องเอาไปทำการบ้านก่อนมาส่งละม้างค่ะเนีย อิอิ....
    ฮ่าๆๆๆๆ งานนี้มีแถมเคสตัวอย่างเพิ่มให้มาอีกด้วย
    โอ้วววว ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

    ขอทำการบ้านส่งนะค่ะ อิอิ... จากความเข้าใจนะค่ะ

    น้ำตาที่ไหลออกมาจากตาเพราะว่าความเสียใจ // อันนี้เกิดจากจิตตชรูป
    น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะแสบตาหรือระคายเคืองตาจากการปอกหัวหอม,
    หรือเราลืมตาในที่ควันไฟแยะๆๆ กะทำให้น้ำตาไหลออกมา // อันนี้เกิดจากอุตุชรูป
    มีหาวแล้วน้ำตาไหล // อันนี้เกิดจากจิตตชรูป

    ปล. ตอนแรกคิดว่ากัมมชรูปจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยซะอีก
    คิดว่าการที่ทำให้น้ำตาไหลเพราะเหตุต่าง ๆ มาจากวิบากนะค่ะ อิอิ...


    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย Praw : 06-09-2013 เมื่อ 07:12 PM

     
  4. รูปส่วนตัว chocobo

    chocobo said:
    กราบอนุโมทนาคุณพราวครับ


    --------

    ที่ว่าจิตตชรูปคือ รูปนั้นเกิดเพราะจิตเป็นสมุทฐาน อาศัยเจตนาเจตสิกก็ดี ที่จงใจให้รูปนั้นไหวไปอย่างนั้นๆ เช่น การเหยียดแขนก็ดี การยกมือก็ดี หรือผู้ที่อบรมภาวนาจนมีอิทธิวิทธิ ก็กระทำอภินิหารต่างๆ รูปเหล่านั้นที่เป็นอภินิหาร มีการหายตัวบ้าง เหาะขึ้นไปในอากาศบ้าง ดำลงในดินบ้าง ก็เป็นจิตตชรูป เพราะอาศัยจิตที่มีกำลังเป็นสมุทฐาน

    ส่วนอุตุชรูป คือรูปทีเ่กิดเพราะความเย็นความร้อน เกิดโดยอาศัยการเกิดขึ้นของรูปก่อนๆเป็นปัจจัย เช่น ฝนตก ต้นไม้เจริญงอกงาม ต้นไม้เหี่ยวเฉา เหล่านี้เกิดเพราะอุตุ

    อาหารชรูป ก็คือรูปที่เกิดเพราะอาหารเป็นปัจจัย คือเกิดเพราะรูปชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ในกลาปทุกๆกลาป คือ โอชา โอชา เป็นรูปชนิดหนึ่งในรูปปรมัตถ์ ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าอาหาร คือการบริโภคอาหารที่เป็นคำๆ(กพฬิงการาหาร) เมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว ก็ทำให้รูปอื่นๆเกิดเพราะโอชารูป คือร่างกายเจริญเติบโต บริบูรณ์บ้าง หรือถ้าบริโภคอาหารไม่ดี ก็ทำให้เป็นโรคบ้าง รูปเหล่านี้เกิดเพราะโอชา เป็นอาหารชรูป

    ถ้าเกิดเพราะกรรม คือรูปกลุ่มนั้นอาศัยกรรม มีกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั่นแหละ กระทำให้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งทรงแสดงรูปที่เกิดเพราะกรรมไว้ทั้งหมด 18 ชนิด ได้แก่
    อวินิพโภครูป 8
    ปสาทรูป 5
    ภาวรูป 2
    หทยรูป 1
    ชีวิตรูป 1
    ปริทเฉทรูป 1

    เหล่านี้เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย


    ทีนี้ เพราะธรรมะนั้นละเอียดยิ่ง แม้จะทรงแสดงว่ารูปแต่ละกลาปๆเกิดเพราะสมุทฐานใดสมุทฐานหนึ่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพราะความเกิดดับอย่างรวดเร็วของสภาพธรรมะ ทำให้รูปที่มีลักษระเหมือนรูปเดียวกันนั้น เกิดได้จากหลายสมุทฐาน สืบต่อกันไปอย่างรวดเร็วมาก จนบางครั้งก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยน่ะครับ ว่ารูปกลุ่มนั้นๆเกิดเพราะสุมทฐานใด ในเวลาไหน ตอนไหน หรือขณะไหน เพราะเหตุว่า เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก แต่ถ้าว่าโดยปรมัตถธรรมแล้ว โดยความเป็นจริง รูปกลุ่มหนึ่งๆก็เกิดได้จากสมุทฐานเดียวเท่านั้นน่ะครับ

    ยกตัวอย่างเช่น การเต้นของหัวใจ หัวใจของคนเรา โดยปรกติจะคิดว่า ต้องเป็นจิตตชรูปใช่ไหมครับ เพราะการเต้นของหัวใจ บ่งบอกว่า บุคคลนั้นมีชีวิต ซึ่งที่จริง การเต้นของหัวใจ ก็เกิดได้ด้วยความเป็นจิตตชรูป คือเกิดเพราะมีจิต เจตสิก อาศัยในรูปนั้นๆ แต่ก็มีบางครั้งที่ไมไ่ด้เกิดเพราะจิตตชรูป

    เช่นบางครั้งคนที่ตายไปแล้ว ก็ยังปรากฏว่าหัวใจยังเต้นอยู่ เพราะอาศัยเครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ ก็เกิดจากอุตุนั่นเองครับ


    แต่เพราะความเกิดดับอย่างรวดเร็วของสภาพธรรม ก็ไม่มีใครทราบได้น่ะครับ ว่ารูปกลุ่มนั้นๆขณะนั้นๆ เกิดเพราะสมุทฐานใด


    เหตุนี้จึงได้กล่าวไว้แล้วน่ะครับว่า ประโยชน์ของการทราบว่ารูปเกิดเพราะมีสมุทฐานต่างๆเป็นปัจจัย ไม่ใช่เพื่อจะต้องทราบว่ารูปนั้นเกิดเพราะสมุทฐานใด รูปนี้เกิดเพราะสมุทฐานใด ก็เพียงทราบได้คร่าวๆเท่านั้น แต่โดยละเอียดจนถึงทีละขณะของรูปกลุ่มนั้นๆทีเ่กิดดับ ไม่มีทางจะทราบได้เลย ว่าขณะนั้นเกิดเพราะสมุทฐานใด เพราะเหตุว่า เร็วมาก และสืบต่อกันอย่างไว เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ประโยชน์จริงๆของการรู้ว่ารูปเกิดจากแต่ละสมุทฐาน เพื่อให้ทราบว่า รูปคือรูป เป็นธรรมะอย่างหนึ่งเกิดแต่เหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ของใคร หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อละคลายความเห็นว่ารูปเป็นตน หรือมีตนในรูป ก็คือเพื่อละสักกายทิฏฐินั่นเองครับ

    กราบอนุโมทนาครับ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย chocobo : 06-11-2013 เมื่อ 02:02 AM
     
  5. รูปส่วนตัว chocobo

    chocobo said:
    อนึ่ง กัมมชรูป กับวิบาก ต่างกันครับ

    เมื่อใช้คำว่า กัมมชรูป ได้แก่รูปที่เกิดเพราะมีกรรมเป็นปัจจัย เป็นรูปธาตุ
    เมื่อใช้คำว่า วิบาก วิบากนี้เป็นชาติของจิต เมื่อเรียกเต็มๆ จึงเรียกว่า วิบากจิต เป็นนามธาตุ

    รูป กับ จิต เป็นธรรมชาติคนละลักษณะ จะเหมือนกันไม่ได้ แม้ว่าทั้งสองนี้ จะมีกรรมเป็นปัจจัยเหมือนกัน

    รูปที่เกิดเพราะมีกรรมเป็นปัจจัย ก็ยังคงเป็นรูปอยู่นั่นแหละ คือมีลักษณะที่ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รูปไม่รู้ทุกขเวทนา ไม่รู้สุขเวทนา
    แต่จิตที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย คือวิบากจิต เป็นจิตที่เกิดเพราะมีกรรมเป็นปัจจัย เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เช่น การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นวิบากจิต

    ฉะนั้น กัมมชรูป และวิบากจิต เป็นสภาพธรรมคนละอย่าง แตกต่างกันครับ
     
  6. รูปส่วนตัว chocobo

    chocobo said:
    ขออนุญาตแก้ไขและอธิบายคำตอบเพิ่มเติมดังนี้ครับ

    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ chocobo ดูโพสต์
    หาวแล้วน้ำตาไหล ไม่ใช่จิตตชรูปนะครับ เพราะการหาว โดยทั่วไปแล้วเป็นอาการของอุตุ เวลาจะหาว ก็ไม่ได้สั่งให้หาวใช่ไหมครับ เวลาจะหาว มีใครสั่งให้หาวได้บ้างไหมครับ เช่น อยากจะหาวเดี๋ยวนี้ ก็จะหาวได้เลย แท้จริง ที่จะหาวได้ก็ต่อเมื่อร่างกายมีอาการอ่อนล้าบ้าง หรือเพราะเหตุอื่นๆบ้าง ซึ่งก็เป็นอุตุชรูปน่ะครับ และเมื่อมีการหาว รูปนั้นก็ไปกระทบให้น้ำตาไหลได้ด้วย และบางครั้ง หาวก็ไม่จำเป็นต้องน้ำตาไหลก็ได้ใช่ไหมครับ
    ที่จริงอาการหาวและน้ำตาเป็นจิตตชรูปได้ด้วยเหมือนกันดั่งที่คุณพราวตอบไว้น่ะครับ เพราะเหตุว่าบางครั้งการจะหาวก็อาศัยความที่จิตนั้นมีถีนมิทธะ หรือมีอาการเบื่อหน่าย จึงเกิดการหาวขึ้น จึงเป็นจิตตชรูปครับ

    อนึ่งการปอกหัวหอมก็เช่นกัน ในวาระแรกๆที่รูปไปกระทบตาทำให้น้ำตาไหล แต่ในวาระหลังๆอาจจะเกิดเพราะมีความรำคาญในทุขเวทนาที่เกิดนั้น ทำให้เกิดโทมนัสรำคาญใจก็เป็นปัจจัยให้น้ำตาไหลได้อีกเหมือนกัน ดังนั้นในภายหลังน้ำตาจึงอาจเป็นจิตตชรูปก็ได้ครับ

    กราบขอบพระคุณท่านเดฟที่กรุณาอธิบายครับ _/\_
     
  7. รูปส่วนตัว Praw

    Praw said:
    อืมมม อ่านแล้วสงสัยเพิ่ม อีกแล้วนะค่ะ
    ว่าวิบากจิต ทำให้เกิดรูปอะไรได้บ้างอะค่ะ ถ้าง้านอะค่ะ
    อย่างเช่น เรานอนหลับสนิทโดยที่ไม่ฝันเลย แต่เรายังมีการหายใจ การเต้นของหัวใจ
    การบีบตัวของเส้นเลือด การบีบตัวของลำไส้ การหลั่งน้ำย่อยอาหาร
    แล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรอะค่ะ

     
  8. รูปส่วนตัว chocobo

    chocobo said:
    วิบากจิต มีหน้าที่เกิดขึ้นทำกิจต่างๆกัน แต่เป็นจิตที่เกิดเพราะเป็นผลของกรรมน่ะครับ ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่กิริยาจิต
    อย่างเช่นถ้าเป็นทางปัญจทวาร วิบากจิตก็เกิดขึ้นทำกิจรู้สี เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ถ้าเป็นทางใจก็มีการทำภวังคกิจ จุติจิต ปฏิสนธิจิต เป็นต้น

    อนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้ว จิต 75 ดวงจากทั้งหมด 89 ดวง เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูปได้
    หากแต่เว้น :

    ทวิปัจวิญญาณจิต 10
    อรูปาวจรกุศลวิบาก 4
    ปฏิสนธิจิต 1
    และจุติจิตของพระอรหันต์ 1


    เหล่านี้ไม่เป็นเหตุให้เกิดจิตตชรูป

    ซึ่งสำหรับจิตตชรูปนั้น เกิดทุกอุปาทะขณะของจิตทุกดวง (เว้น ทวิปัญจวิญญาณ 10 อรูปวิบาก 4 ปฏิสนธิ 1 และจุติจิตของพระอรหันต์ 1 ข้างต้น) คือเกิดทุกขณะที่จิตเจตสิกเกิดขึ้นกระทำกิจของตนๆ จิตตชรูปก็เกิดขึ้นด้วย ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ

    http://abhidhamonline.org/aphi/p6/057.htm

    http://buddhism-online.org/Section05B_03.htm
    -----------

    ขณะที่หลับสนิท ขณะนั้นมีแต่ภวังคจิต ที่กระทำภวังคกิจ คือสืบต่อภพชาติ รูปต่างๆในร่างกายขณะนั้น ก็เป็นจิตตชรูปที่เกิดเพราะภวังคจิตครับ

    --------

    ที่อธิบายว่า กัมมชรูป ต่างกับจิตตชรูป เพราะเหตุว่า รูปที่เกิดเพราะวิบากจิต ก็ยังคงเรียกว่าจิตตชรูปอยู่นั่นเทียว ไม่ได้เรียกว่ากัมมชรูปน่ะครับ จึงได้อธิบายเพิ่มเติมไปในคอมเม้นท์ด้านบน


    กราบอนุโมทนาครับ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย chocobo : 06-10-2013 เมื่อ 09:04 PM
     
  9. รูปส่วนตัว Praw

    Praw said:
    ในขณะตอนนอนนอกจากจิตตชรูปแล้ว ยังมีรูปที่เกิดจากสมุฏฐานอื่น ๆ อีกมัยค่ะ
    อืม ถ้ามีตัวอย่างประกอบให้ทำความเข้าใจด้วย ก็จะยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้นนะค่ะ
    ขออนุโมทนาในการตอบด้วยนะค่ะ

     
  10. รูปส่วนตัว chocobo

    chocobo said:
    ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามียุงบินมากัดหน้าเรา แล้วตื่นเช้ามา หน้าก็บวมฉึ่งเลย อันนี้ก็เป็นอุตุชรูปน่ะครับ

    หรือในขณะหลับ ขณะนั้นก็มีอาหารัชรูปเกิดด้วยก็ได้ เช่นก่อนนอนกินมาม่าอืดๆเข้าไป ตื่นเช้ามาท้องอืดเลย ก็เป็นอาหารัชรูปได้เหมือนกัน

    หรือกัมมชรูปก็เกิดอีกเช่นกัน คือทุกๆขณะของภวังคจิตที่เกิดขึ้น จิตในกามภูมิต้องอาศัยเกิดที่หทัยวัตถุ ซึ่งรูปกลาปกลุ่มที่มีหทัยวัตถุ อันเป็นที่เกิดของภวังคจิตทุกดวงในกามภูมิ ก็เป็นกลุ่มของรูปที่เกิดเพราะกรรม เป็นกัมมชรูป

    และการเต้นของหัวใจ การหายใจ ม้าม ปอด การไหลเวียนของโลหิต ก็เป็นจิตตชรูป ดังนี้น่ะครับ

    -------------------------
    อนึ่ง ในลิ้งที่ให้ไป อันที่เป็น http://buddhism-online.org/Section05B_03.htm หากคุณพราวไมไ่ด้อ่านหน้าเดียว แต่อ่านในหัวข้อรูปจากสมุทฐานอื่นๆด้วย ในหน้าหลังๆ ที่อธิบายเรื่องรูปต่างๆ (หน้านี้ครับ http://buddhism-online.org/Section05B_05.htm) คิดว่าน่าจะมีข้อผิดพลาดอยู่ คือตรงตารางท่านติ๊กไว้ไม่หมดน่ะครับ มีติ๊กไว้ถึงเพียงตรงตารางของชีวิตรูปเท่านั้น หลังจากนั้นด้านล่างลงไปจะว่าง ที่จริงไม่ได้ว่างน่ะครับ รูปต่างๆหลังจากชีวิตรูปลงไปในตารางนั้นก็เกิดเพราะสมุทฐานต่างๆเช่นกัน ให้ดูทางด้านขวาสุดเป็นหลัก ที่มีเขียนไว้ว่าเกิดได้กี่อย่างๆน่ะครับ )