ศาสนพิธีในเทศกาล
งานวันตรุษสงกรานต์
วันตรุษสงกรานต์ เป็นเทศกาลวันสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ของคนไทย ซึ่งยึดถือสืบเนื่องเป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล เป็นระยะเวลาเข้าฤดูร้อน ที่เสร็จจากการเก็บเกี่ยวข้าวจึงว่างจากงานประจำ มาร่วมกันทำบุญ แล้วมีการละเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันในแต่ละหมู่บ้าน ตำบล หรือเมืองหนึ่ง ๆ
วันตรุษ คือวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสี่ ซึ่งถือเป็นวันสิ้นปีนักษัตรหนึ่ง ๆ ตามประเพณีไทยแต่โบราณ และถือเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนห้า ตามจันทรคติเป็นวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาได้เปลี่ยนไปถือแบบพม่าคือ ถือวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ คือในวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งจะตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ทางสุริยคติ และถือเอาวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕ เมษายนของทุกปีเป็นเทศกาลสงกรานต์
เทศกาลตรุษ จะเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสี่ของทุกปี ถือว่าเป็นวันพักผ่อนประจำปี หลังจากที่ได้ตรากตรำทำงานกันมาตลอดปี จะมีการทำบุญ และมีการละเล่นสนุกสนานรื่นเริงกัน หรือไม่ก็มีการเที่ยวเตร่ติดต่อกันไปจนถึงวันเปลี่ยนศักราชใหม่ในวันสงกรานต์ พวกแม่บ้านจะทำขนมไว้ประจำบ้าน เพื่อคอยต้อนรับแขกที่จะมาเที่ยวบ้าน และนำไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องประจำปีกัน หนุ่มสาวก็ช่วยกันทำขนมโดยเฉพาะคือ ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว คุยกันไป เล่นกันไป ร้องทำเพลงกันไปเป็นที่สนุกสนาน หรือจะมีการเล่นอื่น ๆ เช่น เล่นเพลงพวงมาลัยกันยามค่ำคืน เป็นต้น
วันสงกรานต์ เป็นวันคาบเกี่ยวระหว่างปีต่อกัน ตามรูปศัพท์เดิม คำว่าสงกรานต์ แยกออกได้เป็นสองคำคือ สงฺกร แปลว่า ปนกัน หมายความว่าคาบเกี่ยวกัน อนฺต แปลว่าที่สุดสุดท้าย จึงแปลเอาความหมายว่าที่สุดของการคาบเกี่ยวกัน คือปีเก่ากำลังหมดไปคาบเกี่ยวกับปีใหม่ที่ย่างเข้ามา จะเห็นว่าในวันที่ ๑๓ หรือ ๑๔ เมษายน ตามทางสุริยคติในปฏิทินโหราศาสตร์ จะบอกกำหนดเวลาที่ดวงอาทิตย์จะยกเข้าไปสถิตย์ในราศีเมษ จะเห็นว่าในวันนั้นจะเป็นทั้งวันเก่าและวันใหม่ ในวันรุ่งขึ้นจึงเรียกว่า วันเนาว์ แปลว่าวันใหม่ แผลงมาจากคำบาลีว่า นวะ แปลว่าใหม่
เมื่อถึงวันสงกรานต์ชาวไทยเราจะพากันทำขนม โดยเฉพาะการกวนขนมกาละแมกันทั่วไป ตลอดจนขนมอย่างอื่น เพื่อเตรียมทำบุญตักบาตรฉลองวันปีใหม่ หนุ่มสาวจะแต่งกายสวยงาม พากันไปทำบุญตักบาตร เอาข้าวปลาอาหารไปให้ พ่อ แม่ ปู่ย่า ตายาย ที่ไปถือศีลกินเพลที่วัด หรือเอาไปส่งตามบ้านญาติที่อยู่ห่างไกล เป็นการไปเยี่ยมเยียนกันในปีหนึ่ง ๆ หมู่บ้านบางแห่งจะทำข้าวแช่ส่งกันถึงสามวันโดยถือคติตามแบบประวัติของวันสงกรานต์
เมื่อเสร็จจากภารกิจอย่างอื่นแล้ว จะมาจับกลุ่มกันเล่นการละเล่นต่าง ๆ ในตอนกลางวันจะมีการเล่นชักคะเย่อ เล่นลูกช่วงปา ลูกช่วงรำ พวกเด็ก ๆ จะเล่นเข้าผีกันเช่นผีลิงลม ผีกระด้ง ผีครก เป็นต้น เมื่อถึงเวลาค่ำ จะรวมกลุ่มกันเล่นเพลงแม่พวงมาลัย รำวง เล่นสะบ้าทอย สะบ้ารำ ตามประเพณีที่เคยเล่นกันมา
ประเพณีทำบุญตักบาตรในวันสงกรานต์ นิยมทำกันสามวัน บางแห่งอาจถึงหกวันก็มี ในวันสุดท้ายของสงกรานต์ จะมีประเพณีสรงน้ำพระ โดยชาวบ้านจะนิมนต์เอาพระพุทธรูปประจำวัด หรือหมู่บ้าน ออกมาตั้งหรือแห่ ให้ชาวบ้านทั่วไปมาทำพิธีสรงน้ำพระกัน โดยใช้น้ำอบไทยไปพรมสรงน้ำพระพุทธรูป หลังจากนั้นจึงทำพิธีสรงน้ำพระสงฆ์ที่ประจำอยู่ในวัด
ก่อนถึงวันพิธีสรงน้ำพระ จะมีทายกทายิกาของวัดมาจัดสถานที่ไว้ก่อน โดยตั้งลำรางสำหรับให้ชาวบ้านได้เทน้ำไว้ หากเป็นวัดโบราณ จะมีลำรางไว้เสร็จเรียบร้อย ลำรางดังกล่าวจะใช้ต้นตาลทั้งต้นมาขุดขัดเกลาให้เป็นรางน้ำ เพราะต้นตาลไม่ผุง่าย ทายกทายิกาจัดหาไม้ไผ่มาทำเป็นตีนกา แล้วใช้ตอกมัดให้ลาดต่ำไปโดยลำดับ จนถึงปลายรางน้ำที่จะไหลไปที่สรงน้ำ สำหรับที่สรงน้ำ จะเอาใบก้านมะพร้าวฉีกตรงกลางมากั้นที่ทาง ตามที่กะประมาณไว้เป็นรูปห้องสี่เหลี่ยม เป็นที่กั้นให้พระสงฆ์สรงน้ำผลัดผ้า มีประตูเข้าออก ปลายลำรางจะจ่อเข้าไปในห้องดังกล่าวนี้
เมื่อชาวบ้านสรงน้ำพระพุทธรูปแล้ว จะนิมนต์พระสงฆ์สามเณรทั้งวัดมาประชุมพร้อมกัน โดยมากจะเป็นที่ศาลาการเปรียญ และเป็นเวลาบ่าย ๆ เมื่อทายกทายิกาและชาวบ้านไปรับศีลห้าจากพระสงฆ์แล้ว จะนิมนต์พระสงฆ์เรียงองค์ไปตามลำดับ ตั้งแต่ประธานสงฆ์เป็นต้นเรื่อยไปคราวละองค์ ไปสรงน้ำที่ห้องดังกล่าว จะนั่งบนกระดานที่วางไว้ตรงปลายลำราง พวกทายกทายิกาที่อยู่ในห้องนั้น จะร้องบอกให้ชาวบ้านที่อยู่ตามลำราง ให้เทน้ำใส่ลงไปในลำรางได้ น้ำจะไหลตามลำรางจนถึงพระสงฆ์ในห้องน้ำ เสร็จจากรูปแรกแล้ว รูปต่อไปจนถึงสามเณรก็ทำในทำนองเดียวกันจนครบทุกรูป
เสร็จจากการสรงน้ำแล้ว ชาวบ้านจะไปรวมกันบนศาลาการเปรียญอีกครั้งหนึ่ง จะนิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดสวดมาติกาบังสุกุลกระดูก ซึ่งชาวบ้านได้นำเอาโกศกระดูกของปู่ย่า ตายาย หรือพ่อแม่ มารวมกันไว้บนศาลา เพื่อให้พระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุล เป็นการทำบุญส่วน ปุพพเปตพลี เป็นการทำบุญให้ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ที่ล่วงลับไปแล้ว
เมื่อทำพิธีสวดมาติกาบังสุกุลเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไปรดน้ำญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้ใหญ่ก็จะให้ศีลให้พรให้ลูกหลานมีความสุขความเจริญตลอดไป
ปัจจุบันทางราชการกำหนดให้วันที่ ๑๓,๑๔, และ ๑๕ เมษายนเป็นวันหยุดราชการประจำปี รวมสามวัน เรียกว่า
มีต่อคะ