การเจริญปฏิบัติใน " มรรค ๑๐ " สำหรับนักธรรมตรี
การเจริญปฏิบัติใน " มรรค ๑๐ " สำหรับนักธรรมตรี
ขออภิวาทแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนมัสการแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาอันน้อยนิดของผม จัดทำขึ้นเพื่อเป็นบันทึกข้อปฏิบัติของผมเมื่อใดที่สลัดทิ้งธรรมอันเป็นไปด้วยความหลง แล้วกลับมาเริ่มทบทวนธรรมปฏิบัติใหม่ ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ
หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง " การเจริญปฏิบัติใน " มรรค ๑๐ " สำหรับนักธรรมตรี " ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้
บทนำ
หลายๆคนมักจะมีข้อถกเถียงกันเรื่องปฏิบัติ บ้างว่าของตนถูกของผู้อื่นผิด แต่หามิได้ว่าใช้สิ่งใดวัด แม้ในพระไตรปิฏกเองก็มีแนวกรรมฐานทั้งหลายแบบทั้งแบบง่าย แบบกลางๆ แบบยาก แต่ต้องสงเคราะห์ลงได้ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ ข้อทั้งหมด และทุกแนวทางนั้นต้องเป็นไปเพื่ออบรมกายและใจให้มีกุศลเป็นที่ตั้ง มีสมถะและวิปัสสนาทั้งหมด ซึ่งกรรมฐานทั้งหลายนี้อยู่ในมรรค ๑๐ นั่นเอง แต่น้อยคนที่จะรู้ เพราะอาศัยว่าสิ่งที่ตนเห็นดีแล้วถูกสุดดีสุดจนเกิดข้อทำให้แตกแยกในชาวพุทธกันเอง "ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าในทางใดที่ทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นแล้วอกุศลเสื่อมลงนั้นเป็นข้อผิดกรรมฐาน" แต่กลับตรัสสอนว่า "ทางใดที่ทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นแล้วอกุศลเสื่อมลงนั้นเป็นสิ่งที่ควรเสพย์ทั้งสิ้น"สิ่งที่ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ข้อเจริญปฏิบัติที่ทำให้กุศลเสื่อมลงแล้วอกุศลเจริญขึ้นต่างหากที่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า
ด้วยเหตุดังนี้เราผู้ที่เข้าถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆจะเลนชัดเลยว่า แนวกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนั้น ก็คือ สัมมาสังกัปปะ ไปจนถึง สัมมาสมาธินั่นเอง ซึ่งผู้ที่อ่านหรือปฏิบัติแล้วหลงมักจะแยกส่วนจำแนกออกโดยไม่รู้ตามจริงว่า มาติกา หรือ หัวข้อในการปฏิบัติกรรมฐานก็คือ มรรค ๑๐ นั่นเอง ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า ผู้ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่สมมติสาวก นั้นคือ ผู้ที่อยู่ใน มรรค ๔ ผล ๔ คือ ตั้งแต่ผู้ที่ปฏิบัติตามหนทางอันเป็นไปใน โสดาปัตติมรรค(หนทางปฏิบัติให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน) โสดาปัตติผล(ผลสำเร็จอันเข้าถึงแล้วซึ่งความเป็นพระโสดาบัน) ไปจนถึงอรหันตมรรค และ หรหันตผล ดังนั้นผู้ใดที่เดินบนทางแห่งมรรคปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อออกจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้แล้ว เพื่อความถึงซึ่งพระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์นั่นคือสาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง ส่วนผู้ที่เข้าถึงผลแล้วคือผู้ได้รับผลแล้วคือ สาวกผู้เข้าถึงความสำเร็จในธรรมนั้นๆแล้วดังนี้
ทำไมผมกล่าวว่า กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง คือ มรรค นั่นเพราะ กรรมฐานทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเห็นใน อริยะสัจ ๔ ก่อนเป็นหลัก จึงเกิดความคิดที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เกิดการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา ใจ ทั้งหลายอันทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นแล้วอกุศลธรรมเสื่อมลง มีความเพียรละอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดหรือเกิดขึ้นแล้ว ทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้น คงกุศลธรรมไว้ รักษากุศลธรรมไว้ไม่ให้เสื่อม ประกอบไปด้วยสติมีความระลึกได้ เข้าถึงความมีจิตตั้งมั่นอันควรแก่งานให้เกิดญาณคือปัญญาเห็นตามจริง จนถึงความหลุดพ้นชอบ นี่คือ มรรค ๑๐ นั่นเอง ซึ่งกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง วิปัสสนา ๙ ต่างก็อยู่ในมรรค ๑๐ นี้ โดยมีสติสังขารปรุงแต่งหรือเกิดขึ้นในทุกมรรคด้วยความเห็นชอบทั้งปวง
ซึ่งกรรมฐานข้อใดก็ตามแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบครูบาอาจารย์สายใดท่านใดก็ตาม ที่สงเคราะห์ลงในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองได้ เป็นกรรมฐานที่ดำรงไว้ซึ่งสติและสัมปชัญญะอยู่ ทำให้อกุศลธรรมเสื่อมลงจนดับสูญไปแล้วอกุศลธรรมเกิดขึ้น คงอยู่ได้ทุกขณะๆ ทำให้เกิดจิตตั้งมั่นชอบอันเป็นไปเพื่อปัญญาญาณอันถึงความหลุดพ้นชอบ ไม่เป็นไปเพื่อความระลึกผิดที่ทำให้กุศลธรรมเสื่อมลงแล้วอกุศลธรรมเกิดขึ้นและคงอยู่ ไม่เป็นไปในความระลึกไม่ได้ มีจิตตั้งมั่นในอกุศลธรรมอันเศร้าหมองกายใจ อยู่ด้วยความหลงอยู่ เกิดความรู้ผิด หลุดพ้นผิด นั่นคือ กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง
ผมมีความประสงค์ปารถนาอยากให้พุทธบริษัททั้งหลายได้เข้าใจถูกต้องและตรงกันได้ปฏิบัติเพื่อความเป็นประโยชน์สุขของท่านทั้งหลายโดยไม่อิงกิเลสเครื่องล่อใจ ให้เห็นการปฏิบัติที่หาได้จริง มีอยู่จริง ซึ่งพระพุทธเจ้ามีกรรมฐานมากกว่าเม็ดทรายบนโลกนี้ แต่สงเคราะห์ลงในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สงเคราะห์ลงใน มรรค ๑๐ ทั้งหมดนั่นเอง เมื่อปฏิบัติแล้ว กระทำแล้ว เจริญแล้ว ได้ผลเป็นกุศล ก่อให้เกิดกประโยชน์แก่ผู้เจริญระลึกปฏิบัติได้ตามจริง เป็นสิ่งที่รู้เห็นได้ง่าย เข้าใจได้ง่าย สัมผัสได้ง่าย โดยไม่ต้องอนุมานคาดคะเนตรึกนึกเอา จึงถึงความถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ๆ
ด้วยพรรณดังที่ผมกล่าวไว้ ท่านทั้งหลายจงพึงเจริญหมั่นเพียรปฏิบัติให้ถึงทางพ้นทุกข์ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ท่านทั้งหลายผู้เจริญปฏิบัติอยู่ หรือ บิดา มารดา บุพการี ญาติสนิท มิตรสหายทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตอยู่และละจากโลกนี้ไปแล้วของท่านทั้งหลายที่เจริญและปฏิบัติอยู่จะพึงได้รับอานิสงส์ผลบุญทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เทอญ..
ผม ก๊กเฮง และ ครอบครัว บุตรชายคนสุดท้องของเตี่ยกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา ขออุทิศผลบุญที่กระทำมาทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งให้แด่ "เตี่ยกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา พร้อมทั้งบุพการี ญาติ พี่ น้องทั้งหลายที่ละโลกนี้ไปแล้ว" และ ส่วนหนึ่งขอมอบให้แด่ "คุณแม่ซ่อนกลิ่นเบญจศรีวัฒนา พร้อมทั้งบุพการี ญาติ พี่ น้องที่ยังมีชีวิตอยู่" ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงได้รับผลบุญนี้เทอญ
แก้ไขครั้งล่าสุดโดย Admax : 10-15-2014 เมื่อ 03:57 AM
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ