บันทึกกรรมฐานวันที่ 17/8/58 เวลา 10.00 น. โดยประมาณ
วันนี้จะเดินทางกลับจากบ้านมากรุงเทพฯ ได้ทำสมาธิและปลงจากปัญญาครอบครัวที่มีอยู่มากจนไม่รู้จะแบกรับอย่างไร ใจนคึงก็โมโหโกรธเคืองผู้อื่น ใจนึงก็เจ็บใจตนเอง ใจนึงก็เศร้าโศกร่ำไรรำพันเสียใจ ใจนึงถึงหวังปารถนาอยากให้เป็นดั่งใจระคนกันทั่วจนสมองจะระเบิด จึงได้ตั้งทำไว้ในใจถึงความสงบ สันติ ความดับ ความสละคืนกิเลส ความไม่ยึดสมมติ ไม่เสพย์สมมติกิเลส เมื่อจิตสงบแล้ว พึงเห็นว่าเพราะมีความกำหนัดยินดี ใคร่ยินดี กระสันที่จะอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้เป็นไปอย่างที่เราปารถนาพอใจ เมื่อไม่เป็นไปตามหวังก็เป็นทุกข์ แม้แค่เพียงเมื่อจิตแค่เริ่มเสพย์จิตยึดมั่นตั้งในความอยาก ยังไม่สืบต่อ ยังไม่รู้ผลว่าจะสมหวังหรือผิดหวังก็เป็นทุกข์แล้ว มองย้อนไปว่าที่เรามีความโกรธนี้ต่อครอบครัวเพราะเราเป็นคนใจแคบ ไม่มองความผิดตนที่มีต่อผู้อื่น ตั้งความปารถนาอยากให้คนอื่นเป้นอย่างนั้นอย่างนี้ ขนาดแม้แต่ตนยังบังคับไม่ได้ แล้วกับคนที่เราไม่ได้ตั้งความหวังปารถนาไรๆไว้เขาจะเป้นอย่างเราแต่เรากลับไม่ทุกข์และยังให้คำแนะนำดีๆด้วยซ้ำ แล้วเราทำถูกกับคนที่เรารักและรักเราอแล้วหรือที่ตั้งความไม่พอใจยินดีต่อเขาอย่างนี้ เมื่อทบทวนดีแล้วก็รู้ว่าเมตตาเรายังไม่พอ ทำให้หวนระลึกถึงตอนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นพระพุทธเจ้าเป็นแก้วเสรด็จมาเป็นอันมากมาพาให้เมตตา จึงรู้ว่าชาตินี้เราคงมีเมตตาน้อยจึงเกิดเรื่องเครียดและปัญหาครอบครัวเยอะ เราจักทำเมตตาให้ถึงเจโตวิมุตติ ในปุถุชนก็คือเมตตาไปโดยไม่มีกิเลสในขณะนั้นจนเป้นนิสัยนั้นเอง เมื่อทำสมาธิต่อก็เจออุบายดังนี้ว่า
อุบายทรงอารมณ์ในพรหมวิหาร ๔ จนถึงการแผ่ความไม่เบียนเบียนและทาน ไปแบบพรหมวิหาร ๔
๑. เมตตา คือ มโนกรรม จิตที่ปารถนาดี เอ็นดู ปรานี ต่อผู้อื่นเสมอตน เห็นเป็นประดุจบุพการี พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ลูกหลาน บุคคลอันเป็นทึ่รัก มิตรที่ดีต่อกันไม่ขุ่นเคืองใจกัน น้อมไปในการสละให้ / ความมีใจ หรือ ทำใจไว้ ตั้งจิตในความเอ็นดูปรานี น้อมใจวาจากายไปในความสงบสุขยินดีต่อเขา คิดดี พูดดี ทำดีต่อเขาด้วยปารถนาให้เขาได้รับสุข ไม่คิดพูดทำในสิ่งใดอันเป็นไปในความเบียดเบียนทำร้ายให้เขาเดือดร้อน หวาดกลัว มีโทษ ผูกโทษต่อเขา / ไม่เพ่งโทษ ไม่ถือโทษ ไม่ผูกโกรธ ไม่ผูกกลัว ไม่ผูกพยาบาทต่อเขา ด้วยความรักใคร่ที่ไม่เป็นไปด้วยความหลง ความกำหนัด ผูกใฝ่ใคร่ปารถนาทั้งปวงต่อเขา แต่อยู่โดยความเว้นโทษไม่ผูกโทษใจน้อมเอื้อเฟื้อสิ่งดีๆให้เขาด้วยกาย วาจา ใจ หวังให้เขาเป็นสุข ไม่เร่าร้อน ไม่หวาดกลัว ไม่ระแวง ไม่รู้สึกผิด ไม่อยากแสวงหาให้ร้อนรุ่ม
- อุบายว่า หากเราไม่รู้จักปารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่รู้จักอภัยต่อผู้อื่น แล้วจะมีใครไหนเลยจะหวังดีกับเราไม่มาคิดร้ายเบียดเบียนเรา
- มีจิตปารถนาดีต่อสรรพสิ่งทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ เสมอตน เสมอกัน ประดุจคนในครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก ญาติ มิตร ทั้งที่ยังกายอยู่ เห็นเป็นขันธ์ ๕ เสมอกันบ้าง ,อาการทั้ง ๓๒ เสมอกันบ้าง ,ธาตุ ๖ เสมอกันบ้าง
- อีกประการหนึ่ง คือ ทำไว้ในใจ..จับเอาความปารถนาดี ที่มีต่อสิ่งทั้งปวง ประดุจดั่งตน สิ่งตนรัก ตนชอบ ยินดีในกุศลประโยชน์สุขสมหวังอย่างไร ประดุจดั่งคนในครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก ญาติ มิตรที่ปารถนาดีต่อกัน ไปทั่วทุกอนูทั่วเอกภพไม่ว่าสิ่งนั้นๆจะประกอบหรือตั้งอยู่ด้วย เฉพาะธาตุดินก็ดี เฉพาะธาตุน้ำก็ดี เฉพาะธาตุลมก็ดี เฉพาะธาตุไฟก็ดี เฉพาะอากาศธาตุก็ดี เฉพาะวิญญาณธาตุก็ดี หรือ ธาตุทั้ง ๖ นี้สงเคราะห์รวมกันก็ดี
๒. ทำไว้ในใจถึงความไม่เบียดเบียน ความไม่มีเวร ความไม่ผูกโกรธ ความไม่มีพยาบาท ความไม่ผูกใจเจ็บแค้นหมายให้เขาถึงความฉิบหาย ความไม่เป็นเวรภัยซึ่งกันและกันด้วยความมีจิตปารถนาดีซึ่งกันและกัน แผ่ไปทั่วไม่มีสิ้นสุด ไม่มีประมาณ ไปทั่วทุกอนูเอกภพ
๓. กรุณา ความสงสาร คือ มโนกรรม มีจิตสงเคราะห์ น้อมที่จะกระทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเขา ให้เขาได้มีโอกาสที่ดีในชีวิตหรือได้รับสิ่งที่ดีงามที่เอื้อประโยชน์สุขแก่เขา
- อุบายว่า หากเราไม่มีจิตช่วยเหลืออนุเคราะห์แบ่งปันผู้อื่น อยู่โดยความเห็นแก่ตัว แล้วจะมีใครที่ไหนเขาจะอยากมาช่วยเหลือสงเคราะห์แบ่งปันเรา
- มีความสงสารเสมอกันทั่วทุกสรรพสิ่ง มีจิตแผ่ไปประดุจเหมือนอากาศธาตุอันเป็นที่ว่างที่แทรกอยู่ในทุกๆอนูธาตุนั้นเป็นอารมณ์ โดยไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะหรือจับยึดอยู่ที่ในกาย หรือ ไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะที่ในขันธ์ ๕ หรือ ไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะที่ในอาการทั้ง ๓๒ ประการ หรือ ไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะที่ในธาตุ ๖ แต่แผ่ไปทั่วประดุจดั่งอากาศอันเป็นที่ว่างไม่มีที่สิ้นสุดไปทั่วทุกเอกภพนั้น
- อีกประการหนึ่ง คือ ทำไว้ในใจ..ว่าความสงเคราะห์เอื้อเฟื้อมีจักมีแก่สิ่งทั้งปวง ความตั้งกายอยู่ย่อมถึงความสงเคราะห์มีน้อย กายเรานี้ยังคงเป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อมสูญ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ไว้อยู่ เราจักละกายนี้อันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ เป็นที่ประชุมโรคนี้ไปเสีย จักไม่ยังกายนี้อีก จักทำตัวประดุจเหมือนอากาศอันเป็นที่ว่างอันไม่มีประมาณประดุจดั่งเอกภพที่ว่างกว้างไปไม่มีที่สิ้นสุด ยกจิตขึ้นออกจากกายตั้งอยู่ในที่ว่างอันกว้างไกลไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุดประดุจอากาศ อวกาศ ดั่งเอกภพนั้น แผ่เอาความมีจิตสงเคราะห์ เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือแบ่งปันให้แก่สรรพสิ่งทั้งปวงนั้นพ้นจากทุกข์ที่เกิดมีแต่รูปขันธ์นั้นให้ได้ประสบสุขนี้ไปไม่มีประมาณเหมือนเอกภพนั้น
๔. ทาน คือ ผลอันเกิดจาก เมตตาและกรุณาที่น้อมไปในการสละให้ จนเกิดการกระทำทางกายและวาจาอันเป็นไปเพื่อความสละให้ ด้วยปารถนาให้ผู้รับเป็นสุขจากการให้นั้นของตน
- อุบายว่า หากเราไม่รู้จักสละให้ผู้อื่น แล้วใครที่ไหนเลยเขาจะอยากสละให้เรา
- ระลึกถึงผลทานอันใดที่เราสละให้มาดีแล้วนั้น ที่ประกอบไปด้วยประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นอันมาก ระลึกถึงความสุขที่เขานั้นได้รับจากการสละให้ของเรา เอามาเป็นที่ตั้งแห่งจิต หรือ ระลึกว่าการสละให้ที่เราได้ทำมาแล้วนี้มีผลมาก เอาชนะหรือดับอุปกิเลสความโลภในตนได้ เป็นการปหานอกุศลธรรมอันหยายช้าได้ ทั้งได้ทำทานนี้ต่อพระรัตนตรัย พ่อ-แม่-บุพการี พระพุทธศาสนา พระอริยะสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง ทานที่ทำมานี้มีผลมีอาสิงส์มาก เราได้ทำสำเร็จบรรลุบทตามที่พระอริยะทั้งหลายได้กระทำมาแล้ว ประกอบไปด้วยคุณจักส่งผลให้ตนได้รับผลทานอันนั้นแม้กาลปัจจุบัน อนาคตภายหน้า เมื่อละโลกนี้ไปแล้วและในชาติหน้า ให้เราไม่ต้องลำบาก มีอยู่มีกินมีใช้ มีคนเมตตาอนุเคราะห์แก่เราไม่ขาด จิตจะยังความอิ่มใจจนเต็มกำลังใจในทาน
- อีกประการหนึ่ง คือ มีจิตน้อมถึงความสละให้ที่เราได้ทำมาดีแล้วด้วยกายวาจาใจ ต่อสรรพสิ่งทั้งปวง ด้วยจิตอันยินดีที่เราได้สละให้ และ ยินดีที่ได้ทำในสิ่งที่เอื้อประโยชน์สุข ช่วยเหลือ ดูแล ทำนุบำรุง รักษาในสรรพสิ่งทั้งปวง แผ่ไปทั่วให้สรรพสิ่งทั้งปวงประดุจความเติมเต็มสุขอันดีงามไปทั่วทุกอณูธาตุซึ่งเป็นที่ว่างกล้างไปไม่มีประมาณประดุจความมืดโล่งว่างไม่มีที่สิ้นสุดในจักรวาลที่รอให้เราเอาความอิ่มใจไปเติมให้มันเต็มแบบไม่มีประมาณทั่วทั้งเอกภพ
๕. มุทิตา คือ มโนกรรม มีจิตเป็นสุขยินดีไปกับเขา ที่เขาเป็นสุข ไม่มีทุกข์ คงไว้ซึ่งสิ่งอันมีค่าและสำคัญในของเขา ได้พบโอกาสที่ดีในชีวิตและสิ่งที่ดีงามที่เอื้อประโยชน์สุขแก่เขา ไม่ริษยา
- อุบายว่า หากเราไม่รู้จักยินดีเป็นสุขต่อผู้อื่น เมื่อเราได้ดีมีสุขคงไว้ซึ่งสิ่งอันมีค่าอันเป็นที่รักหรือได้ทำในกุศลดีงาม..แล้วใครจะมาอนุโมทนายินดีด้วยใจเป็นสุขไปกับเรา, เมื่อเราคอยแต่ตะเกียกตะกายแก่งแย่งชิงดีให้ตนเหนือกว่าเขา อิสสาริษยาเขาแล้ว..เราก็ไม่ใช่แค่คิดเบียดเบียนคนอื่น แต่กลับเบียดเบียนตนเองให้มีแต่ความทุกข์เร่าร้อนเกายใจอยู่ไม่เป็นสุข
- แผ่เอาความจับเอาที่จิตอันเป็นสุขยินดีเสมอกันประดุจญาติมิตรบ้าง หรือ เป็นขันธ์ ๕ เสมอกันบ้าง, อาการทั้ง ๓๒ ประการ เสมอกันบ้าง, ธาตุ ๖ เสมอกันบ้าง ที่เขาคงไว้ซึ่งสิ่งอันเป็นที่รักที่หวงแหนได้รับสิ่งที่เป็นสุขยินดี ความยินดีมีอยู่ที่จิตนี้ไปถึงทั่วทุกอนูทั่วทุกเอกภพ
- อีกประการหนึ่ง คือ ความทำไว้ในใจ..จับเอาจิตอันเกษมยินดีแช่มชื่นรื่นรมย์อันเกิดมีแต่จิตนั้น ตั้งอยู่ที่จิตนั้น
๖. อุเบากขา คือ มโนกรรม ความวางใจไว้กลางๆ ความไม่ลำเอียง อันสืบต่อจาก เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ลำเอียงเพราะกลัวหรือไม่รู้ตามจริง ไม่ตั้งความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดีต่อสิ่งใด มีความเสมอกันหมดต่อสรรพสิ่ง ย่อมที่เห็นว่าคนเรามีกรรมเป็นของของตน มีกรมเป็นผู้ให้ผลติดตามและอาศัยบ้าง อยู่ที่กรรมที่เขาได้ทำในกาลก่อนและปัจจุบันบ้าง เป็นไปตามธรรมชาติของผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นในครองขันธ์ ๕ อยู่บ้าง
- อุบายว่า สิ่งเหล่าใดที่ควรและไม่ควรเราได้ไตร่ตรองพิจารณาได้ทำด้วยความปารถนาดีน้อมไปในการสละช่วยเหลือต่อเขามาดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอบ่างย่อมเป็นไปตามกรรมที่ทำไว้ไม่ว่าเราหรือเขาก็หลีกหนีไม่ได้ หากเรายังยินดียินร้ายไปกับเขา หรือ ติดข้องใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากทุกข์ ติดข้องใจสิ่งใดไปย่อมนำทุกข์และความฉิบหายมาให้
- แผ่เอาความว่างไม่มีความยินดี-ยินร้ายต่อสิ่งเหล่าใดไปแบบไม่มีประมาณ
- อีกประการหนึ่ง คือ ความทำไว้ในใจ..ไม่ยึดยินดีในกาย ไม่ยึดยินดีในใจ หรือ ไม่ยึดยินดีในเอาขันธ์ ๕ หรือ ไม่ยึดยินดีในอาการทั้ง ๓๒ หรือ ไม่ยึดยินดีในธาตุ ๖ เสมอกันบ้าง ไม่ยึดเอาสิ่งใดสักอย่าง ไม่ยึดเอาสิ่งทั้งปวง ด้วยเป็นว่าเพราะเป็นที่ประชุมแห่งทุกข์ แม้แต่กายและใจของตนก็ตาม ทุกข์นี้เกิดอยู่ที่กายที่ใจตนนี้แหละ กายที่เสื่อมโทรมเป็นที่ประชุมโรค ใจที่รู้แต่สมมติกิเลส ไม่รู้ของจริง ยึดเอาเพียงสมมติปรุงแต่งแต่สิ่งไรๆที่นำความทุกข์มาให้ ยังไฟให้แผดเผาตนให้เร่าร้อน ละทิ้งกายใจเหล่านั้นไปเสีย เพราะเป็นที่ประชุมทุกข์ดังนี้