วันนี้ตั้งใจจะไปทำสมาธิ ก็ได้สนทนาธรรมกับนาคเพื่อนที่จะบวชตลอดชีวิตก่อน เนื่องจากพระผู้เป็นพ่อของเขาได้บรรลุอรหันต์ทางเขาจึงมีจิตน้อมที่จะบวชตามเพราะหลวงพ่อปารภให้บวช และ มัีพระอรหันต์หลายองค์ที่เขาได้รู้จักและไปบวชด้วย เมื่อคุยกันพอให้หายคิดถึงกันแล้ว จึงเข้าไปทำสมาธิที่โบสถ์ ก่อนทำก็คิดไว้ว่าอย่างเราๆนี้จะทำให้ตายก็คงไม่ถึงสมาธิ มีความปลงใจไว้แล้ว แล้วตั้งใจไว้จักทำสมาธิสัก 1 ชม.
- พอทำสมาธิก็ตั้งอยู่ที่ลม พุทโธ ไปเรื่อยๆ สักพักจิตมันเกิดความขี้เกียจบริกรรมจึงคิดว่าสำเหนียกเอาดีกว่า จึงจับเอาที่ลมที่ปลายจมูกเคลื่อนผ่านหน้าอกเข้ามาลงไปสู่ท้องน้อยบ้าง จากท้องน้อยออกไปผ่านหน้าออกไปปลายจมูกบ้าง แต่ก็มีความคิดอยู่ แต่ก็ดึงจิตให้สำเหนียกมากที่สุด จนเมื่อสำเหนียกก็ไม่ได้ เลยปล่อยตามเลยมันจะคิดจะสำเหนียกก็ช่างมัน เลยหวนรำลึกถึงว่าเมื่อครั้งที่เราเคยมีจิตเป็นสมาธิจดจ่อได้นานเราก็บริกรรมแต่พุทโธแล้วมันเป็นไปของมันเอง เมื่อรู้ว่าจะไม่สามารถถึงสภาวะนั้นได้อีก ก็ปล่อยตามเลยเสียไม่ต้องไปจดจ้องสภาวะธรรมไม่ต้องไปเกร็งเพ่งมันปล่อยมันไปของมัน เพราะยิ่งเกร็งยิ่งเพ่ง ยิ่งจดจ้องสภาวะยิ่งปวงหัวยิ่งระส่ำไม่เป็นความสงบ
- พอรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆจิตนี้มันสุดยอดเดี๋ยวไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เดี๋ยวไปหาคนนั้นคนนี้ไม่หยุด พยายามอยู่ที่ลมก็แล้วมันก็ส่งออกนอกไปทั่ว จนปลงปล่อยมันคิดไปตามความอยากมันซะ แค่รู้ว่ามันคิดก็พอ จิตมันก็ส่งออกนอกไปเรื่อยเสพย์ตามเรื่องราวมันบ้างรู้ตัวว่าคิดบ้าง พอมารู้ตัวหน่อยก็ดึงสัมปะชัญญะขึ้นรู้ว่าทำสมาธิอยู่แล้วก็กลับมาอยู่ที่ลมพอมันคิดก็รู้ว่ามันคิดก็ปล่อยมันไป
- จากนั้นพอมันคิดจนจบมันแล้วอยู่ๆก็เกิดความรู้สึกนึกคิดว่าเหนื่อยที่จะคิด คิดไปก็มีแต่ทุกข์ เสพย์ความคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ จิตมันก็เลยคิดว่าผละออกจากจิตส่งออกนอกนั้นเสีย เอาจิตส่งเข้าในมันเป็นสุขกว่ามันสงบไม่อึดอัดเหมือนส่งจิตออกนอก
- ต่อมาจิตมันก็ไปจับที่ลมแล้วไปจับระลึกเอาความสงบที่เคยสัมผัสจากสมาธิได้บ้างมันก็รู้สึกดี มันก็ไปจับเอาสุขที่เคยสัมผัสที่ปะทุอัดตั้งแต่ท้อง-มาลิ้นปี่ มาหน้าอก-ปะทุขึ้นไปกระหม่อมบ้าง พอมันไประลึกถึงสุขที่เคยสัมผัสได้จิตมันก็เกิดนิมิตที่เคยสัมผัสได้เมื่อกาลก่อนว่า มันว่างอย่างนี้ มันสุขอย่างนี้ มันสว่างอย่างนี้ แล้วก็เหมือนจิตมันมองเลื้อยเหมือนส่องกล้องเข้าไปภายในกาย โดยเลื่อนเข้าไปในโพรงจมูกเข้าไปหกลอดลมไปที่หน้าอกเลื่อนมาประมาณท้องที่เคยได้รับสุขที่พลั่งพลูนั้น ซึ่งในช่องว่างสว่างนวลตาเหมือนเวลาหลับตานั่งสมาธิแล้วลืมตาออกมามองโลกภายนอกใหม่ๆ มันก็มองที่นั้น แล้วจิตกนึ่งก็คิดขึ้นว่าอย่าไปติดนิมิตนี้เลยมันก็คิดปรุงแต่งไปทั่วตามความพอใจของเรา
- จากนั้นก็มาดูที่ลมหายใจโดยมันจะบริกรรมหรือไม่บริกรรมก็ช่างมัน ลมมันเป็นเรื่องของกาย ลมเป็นกายสังขาร กายเท่านั้นที่ต้องก่ารลม เรานั้นเป็นแต่เพียงผู้รู้ว่ามีลมหายใจอยู่ รูปขันธ์นี้ยังดำเนินไปได้อยู่เท่านั้นไม่ได้ไปมีหน้าที่อื่นเกินกว่านี้ ก็แค่รู้ว่ากำลังหายใจเข้าหรือออกเท่านั้นพอ
- ทีนี้พอดูลมหายใจไปได้สักพักจากลมหายใจที่แรงพอจะรู้ผัสสะตรงปลายจมูกได้บ้างได้ยินเสียงลมหายใจทางหูบ้าง ก็เริ่มเบาลงๆๆ แต่มันก็ยังหายใจเข้าออกยาวเหมือนเดิม บางครั้งก็เหมือนจะลมหายใจหายไปไม่มีลมเข้า-ออกจมูกเหมือนสูดเอาความว่างเปล่าเข้าออกเท่านั้น พอเมื่อคิดอย่างนี้จิตมันก็ให้ไปรู้สึกว่าจะหายใจไม่ทั่วท้องหรือเหมือนตนเองไม่หายใจ แต่ก็ตั้งจิตให้เพิกออกจากอาการนั้นแล้วดูอาการของกายนั้นแหละมันไปเรื่อยๆอีก ก็กลับมารู้สึกแค่กายเลค่ือนตัวยกพองขึ้นแล้วเคลื่อนตัวยุบลงเหมือนกายมันกำลังหายใจปกติแต่เพียงไม่รู้สึกถึงลทหายใจเข้าออกนอกจากความว่างเปล่าจากการกระเพื่อมเคลื่อนตัวของกายนั้น แต่มันก็รู้สึกสบายๆดีอยู่ เลยดึงสัมปะชัญญะไปรู้กายว่าเรานั่งสมาธิอยู่อย่างนี้ สภาวะกายนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างนี้ กำลังรู้ลมอยู่อย่างนี้ กายเรานี้ก็กำลังดึงลมหายใจอยู่ สักพักจิตมันก็ไม่รู้ลมหายใจรู้แค่กายนั้นเคลื่อนตัวเลื่อนขึ้นพองขึ้นแล้วก็เคลื่อนตัวหดยุบลงจากการพองตัวนั้น เหมือนดั่งร่างกายเรานั้นกำลังหายใจอยู่ปกติแต่ทั้งๆที่ไม่มีลมหายใจเข้าเลยแต่กายมันก็ยังทำหน้าที่ของมันไปอย่างนั้น จึงคิดว่าอย่างนี้แม้เราไม่มีลมหายใจก็ยังไม่ตาย
- แล้วสักพักเมื่อพิจารณาอาการของกายดังนี้ได้สักพัก มันก็เกิดนิมิตเหมือนก้องส่องเข้าไปภายในกายเห็นอวัยวะน้อยใหญ่ภายในกายของเราเองซึ่งเป็นรูปร่างกายเราแต่เห็นเพียงอวัยวะอาการทั้ง ๓๒ เท่านั้น เช่น เห็นเส้นเลือด เส้นเอ็น ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร กระดูกเชิงกรานกระบังลม อันมีหนังหุ้มเป็นที่สุดรอบ จากนั้นก็นิ่งดูอยู่สักพักจึงติดว่านิมิตนี้หนอก็คงมาจากรูปอสุภะที่เราเคยเพ่งมองนั้นแหละแล้วเกิดสัญญาสร้างสังขารรอบให้เห็นเป็นนิมิตอีกครั้งเท่านั้น ก็เลยกลับมาที่ลมใหม่นิมิตก็จับจ่ออยู่ที่ความสว่างโร่ที่ไม่สว่างเกินไปแต่ไม่มืดครึ้มที่อยู่ในช่องคาดว่าเป็นในส่วนท้องหรือท้องน้อยที่เคยมีสภาวะธรรมอันเป้นสุขที่เกิดมาในชีวิตนี้ไม่เคยมีไม่เคยเจอพลั่งพลูออกมา นิ่งแช่ดูอยู่นั้นแล้วสักพักก็ออกจากสมาธิ นั้นเพราะปวดขาเพราะมีอาการกำเริบขึ้นของข้อกระดูกอักเสบ แต่ก็ยังตั้งเจตนาหายใจเข้าออกยาวให้ได้พุทโธ 108 ครั้ง(หายใจเข้าบริกรรมพุทธ-หายใจออกบริกรรมโธ ครบรอบพุทโธนับเป็น ๑) ทำจนทนไว้ไหวสั่นระระวแต่ก็ไม่ให้ความสำคัญมันคิดแค่ว่าถวายเป็นพุทธบูชาโดย บริกรรมพุทโธไปพร้อมระลึกเอาความเป็น
ผู้รู้เห็นซึ่งโมหะคือความลุ่มหลง
ผู้ตื่นจากโมหะแล้วได้ทำเพื่อออกจากทุกข์นั้นคือเดินในทางมรรคและผลโดยชอบเพื่อออกจากโมหะ
ผู้เบิกบานหลุดพ้นจากโมหะเหล่านั้นแล้วโดยสิ้นเชิงคือดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกสิ้นเชิงแล้ว
เสียงนาฬิกาไขลานวัดดังบอกชั่วโมง นั่งได้เพียง 45 นาที ทั้งที่ตั้งใจไว้สัก 1 ชม. จึงหวนรำลึกว่าถึงแม้เมื่อก่อนนจะเคยนั่ง 1-2 ชม. ก็ตาม แต่ตอนนั้นมันมีจิตเป็นสมาธิจึงทำได้ และตอนนี้ไม่มีสมาธิแถมยังเป็นโรคเอ็นและข้อเท้าอักเสบ เมื่อจะทำสมาธิก็ได้แต่นอนทำ ตอนนี้เริ่มต้นนั่งได้ขนาดนี้ก็มากโขแล้ว
เมื่อออกจากสมาธิมาอยู่ในท่านั่งพับเพียบ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์สาวก อาการที่ตะคิวกินกับโรคเอ็นและข้อเท้าอักเสบที่เคยปวดมากก็เหมือนจะหายใจ จิตก็สงบด้วยไม่คิดมาก จึงลืมตาแผ่เมตตาไปโดยท่านั้นไปโดยไม่มีประมาณ มีจิตเพียงเป็นมิตรที่ดี ปารถนาดีให้เขาเป็นสุข ขอความสุขกายสบายใจความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่พ่อแม่ญาติพี่น้องตนเอง ทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว บุคคลที่รู้จักและไม่รู้จัก สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งที่มีกายเล็ก สั้น ผอม ใหญ่ กลาง ยาว อ้วนพี ไม่ว่าจะอยู่ในที่กว้าง ที่แคบ พื้นที่ใดๆซอกมุมใดๆก็ตามในโลกนี้ เจ้ากรรม นายเวร พระภูมิเจ้าที่ สัมภเวสีทั้งหลาย เทวดาอารักษ์ทั้งหลาย เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ อมนุษย์ทั้งหลาย ยักษ์ทั้งหลาย นาคทั้งหลาย คนธรรม์ทั้งหลาย ครุฑ ท่านพระยามัจจุราช ยมมูตทั้งหลาย วิญญาณทั้งหลายในนรกไปจนถึงเปรตทั้งหลาย พรหมทั้งหลาย
เมื่อเสร็จก็ครบ 1 ชม. พอดี
แก้ไขครั้งล่าสุดโดย Admax : 05-26-2015 เมื่อ 09:19 AM
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ