ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อุเบกขา

กระทู้: ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อุเบกขา

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. Admax said:

    ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อุเบกขา

    เรียนถามพี่เดฟครับ

    ๑.ความไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อุเบกขา มีอยู่ไหม
    ๒. ถ้ามีแล้ว เป็นเช่นไร
    ๓. เป็นสภาวะที่จิตไม่ยึดเอาสิ่งใดแต่มีสัมปะชัญญะกำกับอยู่ทุกเมื่อคู่กับสติใช่หรือไม่ หรือเป็นสภาวะในสมาบัติ
    ๕. ความไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล คือ สภาวะธรรมอันไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ว่าง แต่รู้ตัวทั่วพร้อมมีความระลึกรู้เพียงสภาวะธรรมที่เกิดดับใช่หรือไม่
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    สวัสดีครับ คุณ Admax
    พักนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย สบายดีนะครับ

    ขอให้ข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้ละกันนะครับ

    ความรู้สึกเป็นสุข อันเนื่องด้วยกาย คือ สุขเวทนา
    ความรู้สึกเป็นทุกข์ อันเนื่องด้วยกาย คือ ทุกขเวทนา
    ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ อันเนื่องด้วยกาย ไม่จัดว่ามี

    เพราะขณะใดที่กายเป็นปรกติดี ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย ฯลฯ เป็นต้น
    นั่นก็ถือว่าเป็น สุขเวทนา นั่นเองครับ
    และขณะใดที่กายไม่เป็นปรกติ รู้สึกเจ็บ ปวด เมื่อย ฯลฯ เป็นต้น
    ขณะนั้นก็เป็น ทุกขเวทนา

    ดังนั้น หากเนื่องด้วยกายแล้ว จะไม่มีอุเบกขาเวทนานะครับ
    มีแค่ 2 คือ สุขเวทนา และ ทุกขเวทนาครับ

    สำหรับความรู้สึกเป็นสุข อันเนื่องด้วยใจ คือ โสมนัสเวทนา
    ความรู้สึกเป็นทุกข์ อันเนื่องด้วยใจ คือ โทมนัสเวทนา
    ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ อันเนื่องด้วยใจ ก็คือ อทุกขมสุขเวทนา
    หรือ อุเบกขาเวทนา นั่นเองครับ

    ดังนั้น หากเนื่องด้วยใจแล้ว จะมี 3 คือ โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนา
    และ อทุกขมสุขเวทนา (อุเบกขาเวทนา)

    ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น
    โดยสภาพธรรมได้แก่ เวทนาเจตสิก
    ซึ่งเวทนาเจตสิกนี้ย่อมประกอบดับจิตทุกดวง ทุกประเภท ไม่มีเว้นเลย
    หากมีจิตเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต
    (หรือแม้แต่กิริยาจิต และวิบากจิต)
    ย่อมมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตด้วยเสมอ
    สุดแล้วแต่ว่าจะเป็นเวทนาอะไร
    ซึงไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
    เวทนานั้นก็เกิดแล้ว...ดับแล้ว...เป็นขณะจิตไป
    แต่หากสติปัฏฐานเกิดขณะใด
    ระลึกเป็นไปในเวทนาที่เกิดขึ้น ก็คงจะรู้ได้น่ะครับ

    สำหรับอีกโดยประการหนึ่ง
    สภาพจิตใจที่เป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่มีความลำเอียง
    นี้คืออุเบกขาในพรหมวิหาร
    โดยสภาพธรรมได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก
    ซึ่งเป็นคนละอย่างกับอุเบกขาที่เป็นเวทนานะครับ
    สำหรับประการนี้ จะเกิดร่วมกับจิตที่ดีงามเท่านั้น
    จะไม่เกิดร่วมกับจิตที่ไม่ดีงามเลยครับ

    ในขณะที่เป็นสมาบัติ (สมาบัติ หมายถึง การถึงพร้อม)
    ไม่ว่าจะเป็น ฌานสมาบัติ คือการเข้าถึงฌานจิต
    หรือ ผลสมาบัติ คือการเข้าถึงอริยะผลจิต
    (ขอเว้นไว้ไม่กล่าวถึงนิโรธสมาบัตินะครับ)

    ขณะที่เป็นฌานสมาบัติ และ ผลสมาบัติ นั้นเป็นจิตที่ดีงาม
    ก็ย่อมประกอบด้วยเวทนาเจตสิกและตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกน่ะครับ

    สำหรับสภาพจิตที่ไม่เป็นทั้งกุศล และ อกุศล
    ได้แก่กิริยาจิตและวิบากจิตครับ

    หากมีประเด็นใดที่ต้องการสนทนาเพิ่มเติม...ก็เชิญนะครับ

    อนุโมทนาครับ




    เดฟ


    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. Admax said:
    สาธุครับ ขอบพระคุณครับ แจ้งใจดีแท้ครับ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ