จิตกับสมอง

กระทู้: จิตกับสมอง

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. Admax said:
    พี่เดฟ พูดซะผมอายเลย 5555
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  2. Peerawit said:
    ขอบคุณอ.เดฟ และ คุณ Admax ค่ะ
    มีวิบากเก่าก็ต้องรับกันไป คงต้องทำใจยอมรับแต่โดยสภาพทั่วไปผู้ป่วยโรคสมองมักเกิดอกุศลจิตได้ง่าย จะโผล่ขึ้นแต่สัญญาเก่าๆด้านลบ น้อยมากที่จะเกิดกุศลจิตเกิดสัญญาทางบวก เหมือนเกิดจากจิตที่ยึดมั่นถือมั่นทั้งๆที่ทั้งชีวิตทำแต่ความดี แต่ละเลียดลงไปกว่านั้น คือ กุศลและอกุศจิตที่เกิดขึ้นเนืองๆในชีวิตประจำวัน ..
    อ.เดฟคะ : ย้ายบ้านเปลี่ยนที่อยู่แล้วนะคะ
    ขอบคุณมากค่ะที่ไม่เคยลืม ส่งของขวัญให้ตลอด
     
  3. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    ออ ครับ แจ้งที่อยู่ใหม่ทางหลังไมค์ได้เลยนะครับ



    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  4. Peerawit said:
    สวัสดีค่ะ อ.เดฟ
    วันนี้ละลึกถึงแวะมาทักทายหน้าฝนค่ะ
    ปรกติก็ไม่ค่อยว่าง ภาระหน้าที่มากมาย..แต่ยังคงมุ่งมั่นฝึกสติปัฏฐานค่ะ เวลาผ่านไปทุกวัน ถึงวันนี้มาย้อนนึกนึกถึงคำสอนหลวงพ่อเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ฝึกนะช่วยตัวเองให้ได้ คอยพึ่งหลวงพ่อพึ่งไม่ได้นะ หลวงพ่อแก่ลงทุกวัน ถึงวันนี้ท่านป่วยแล้ว ก็ไม่รู้ท่านจะมาชี้ทางให้อีกมั้ย ...คงต้องช่วยตัวเองจริงๆแล้ว แต่ยิ่งไม่มีที่พึ่งก็ต้องพึ่งตัวเอง ค่อยๆเดินไปค่ะ

    ขอบคุณที่มีพื้นที่ให้บ่น
    Peerawit
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    ยินดีที่แวะมาเยี่ยมเยียนวัดเกาะฯ ครับ
    ขอออนุโมทนาในการศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนครับ.....สาธุ
    ว่างๆ ก็แวะมาเยี่ยมเยียนได้เสมอนะครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. Peerawit said:
    สวัสดีค่ะ อ.เดฟ
    จะรบกวนขอ E-Mail ที่ติดต่อได้หรือไม่คะ ที่เคยให้ไว้จำไม่ได้แล้วค่ะ

    วันนี้ฟุ้งๆ หลงไปคิดหาคำตอบเยอะ แต่สติก็เกิดสลับได้บ่อย เป็นช่วงๆ เด๋วนี้เห็นรูปธรรม นามปธรรม ได้ไม่ยากอะไรค่ะ เดินไปก็ไม่ค่อยมีคนเดินละ มีแต่กระทบแข็งๆ สลับ กับคิดบ้าง พอรู้ คิดก็ดับ สลับไปเรื่อย ..
    ขออนุญาติใช้คำบ้านๆเนาะ สะกดก็ไม่ค่อยถูก
    ที่จะถามคือ ทางปริยัติสอนเรื่อง พระอรหันต์เมื่อละขันธ์แล้ว ไม่เกิดอีก ไม่มีรูป จิต เจตสิก สภาวะจิตดับสูญหรือไม่คะ พยายามไปหาอ่านๆแล้วสับสน ก็คิดๆเอาว่า ท่านยังมีสภาพรู้มั้ย จำอดีตชาติได้มั้ย หรือ จิตดับสูญไปเลย หรือ มีสภาวะเหมือนอรูปพรม ที่จำเรื่องราวในอดีตได้ แต่ไม่เกิดอีก..
    ฟุ้งเยอะมั้ยคะ อิอิ
     
  7. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    สวัสดีครับ คุณ Peerawit
    E-mail ที่ตอนนั้นแจ้งไว้น่าจะเป็น devdevy@yahoo.com
    แต่เอาจริงๆ แล้ว เดฟเข้ามาในนี้ มากกว่าในอีเมล์อีกครับ
    อีเมล์นานๆ ถึงจะเช็คที แต่ในเว็บบอร์ดเข้ามาเช็คทุกวันเลยครับ
    ติดต่อในเว็บบอร์ดคิดว่าน่าจะสะดวกกว่า...ว่างั้นมั้ยครับ

    สำหรับประเด็นที่สงสัย
    ประเด็นนี้พระเจ้ามิลินท์ก็เคยสงสัย
    และได้ตรัสถามปัญหานี้กับพระนาคเสน
    สรุปใจความว่า เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว
    ก็ประดุจเปลวไฟที่ดับมอดหมดสิ้น
    เปลวไฟที่ดับแล้ว...จะไปหาอะไรๆ ที่ไหนได้อีก

    หากสนใจลองอ่านดูรายละเอียดนะครับ.....


    ราชา สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต นาคเสน
    ข้าแต่พระนาเสนผู้เจริญด้วยปรีชา พุทฺโธ อันว่าพระพุทธเจ้านี้ มีอยู่หรือ
    พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มีอยู่

    พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสว่า
    พระผู้เป็นเจ้านี้อาจจะชี้ได้หรือไม่ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ที่นั้น เสด็จอยู่ที่นี้
    พระนาคเสนมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร
    สมเด็จพระมงกุฏมาจารย์เสด็จเข้าพระนิพพานล่วงไปหาเนื้อหาตัวมิได้นี้
    จะให้อาตมาชี้ว่าที่นี้ที่นั้น จนใจหารู้ที่จะชี้ไม่ ขอถวายพระพร

    พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสว่า นินมต์พระผู้เป็นเจ้าอุปมาไปก่อน
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า ตํ กึ มญฺญสิ มหาราช
    พระราชสมภารสำคัญอย่างไรจึงถามฉะนี้
    เปรียบดุจเปลวอัคคีรุ่งโรจน์โชตนาการ เปลวเพลิงดับ ยังอยู่แต่ถ่าน
    บพิตรพระราชสมภารยังจะชี้เปลวอัคคีได้หรือว่าอยู่ในที่นั้นๆ จะได้หรือไม่ได้เล่า
    พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตอบไปว่า เปลวไฟดับนี้จะจับเอาที่ไหนมาชี้

    พระนาคเสนถวายพระพรว่า ฉันใดก็ดี ข้อความที่ตรัสถามนี้ก็เหมือนกัน
    เมื่อสมเด็จพระอนันตคุณอดุลยมิ่งมงกุฏโลกจารย์
    เสด็จล่วงกับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานไปสูญแล้ว เหมือนเปลวไฟที่ดับ
    อาตมาจนอกจนใจไม่รู้ที่จะชี้ให้เห็นพระองค์ได้โดยแท้ ตามกระแสพระราชโองการตรัส

    สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ ทรงฟังแล้วก็โสมนัสปรีดาตรัสว่า
    กลฺโลสิ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว

    http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=62





    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  8. Peerawit said:
    ขอบคุณมากค่ะ
    อ่านๆไปใช้ความคิดจินตนาการยังงัยก็คงไม่ใกล้ความจริง ปัญญายังห่างไกลที่จะเข้าใจนัก กลับมารู้อยู่ที่ขณะปัจจุบันดีกว่า คงพอเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้บ้าง..
     
  9. Peerawit said:
    สวัสดีค่ะ อ.เดฟ
    แวะมาทักทายค่ะ ก็กลับมามุ่งมั่นพากเพียรค่ะเผื่อมีโอกาสอีกครั้งที่จะได้รายงานผลการปฏิบัติให้หลวงพ่อท่านเห็นว่าเดินตามทางพระธรรมคำสอน.
    กลับมานับ 1 ใหม่ ตามธรรมดาทุกวันภาระหน้าที่มากมาย อาศัยเจริญสติในชีวิตประจำเป็นหลัก เห็นรูปธรรมนามธรรมได้เป็นขณะๆในชีวิตประวันวัน หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง คำถามคือ

    1.เห็นแบบเดิมๆทุกวัน บางทีรู้สึกเบื่อ ว่าก็แบบนี้ ไม่เห็นจะได้อะไร ถ้าไม่ปล่อยให้หลง ทุกอย่างเฉยๆ ไม่สุขใจ ไม่ตื่นเต้น ไม่ In
    ก่อนๆสติปัฏฐานเกิดจะดีใจ รู้สึกเป็นสุข เด๋วนี้เฉยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา ให้อดทนปฏิบัติไปแบบนี้หรือคะ
    ค่อยๆสะสม อบรมเจริญปัญญา เห็นรูปนามบ่อย เพื่อละคลายความเป็นตัวตน

    2.ปรกติโทสะจริตโมโหง่ายยิ่งเวลาป่วย เช่นปวดหัว สมาธิ สติ ปัญญา ไม่มีกำลังแยกนามธรรม ความปวด รวมกันสนิทคือเราปวด จะชอบหนีๆน้อมจิตไปรู้อย่างอื่นให้ลืมปวดเพราะกลัวโทสะจะเกิดแรงๆ คราวนี้สมมุติว่าตอนใกล้ตายทุกขเวทนามาก แยกสภาวะไม่ไหว หลบไปอยู่กับท้องพองยุบ หรือ อารมณ์อื่นหนีเวทนา แล้วจิตดวงสุดท้ายดับลง แบบนี้ถือเป็นจิตกุศลหรือจิตอกุศลคะ ( ตั้งใจจะฝึกเอาไว้หนีทุกขเวทนา เวลาคับขัน เช่นป่วยหนัก )

    ขอบคุณมากค่ะ
     
  10. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    สวัสดีครับ คุณ Peerawit
    ว่างเมื่อไหร่ก็แวะมาได้เลยนะครับ

    1. แม้จะเห็นแบบเดิมทุกวัน
    แต่ก็ยังละคลายความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของตนไม่ได้ ใช่ไหมครับ
    แสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นที่เราทุกคนสั่งสมมาเนิ่นนานประมาณมิได้
    การจะไถ่ถอนออกไปจึงไม่ง่าย
    และไม่ว่าความดีใจ, เสียใจ, เฉยๆ หรือเบื่อๆ
    ก็ล้วนแต่เป็นสภาวธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนของตนเลย
    ซึ่งการที่จะประจักษ์แจ้งในรูป...ว่าเป็นรูป ไม่ใช่ตัวตนของตน
    ประจักษ์แจ้งในนาม...ว่าเป็นนาม ไม่ใช่ตัวตนของตน
    จนกระทั่งละคลายไถ่ถอนความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของตนลงได้
    ต้องเป็นปัญญาที่เจริญขึ้นอย่างถ่องแท้มั่นคงจริงๆ ครับ
    จึงชื่อว่าเป็น จีรกาลภาวนา คือเป็นการอบรมที่ใช้เวลาสั่งสมเนิ่นนาน

    หากปราศจากขันติและความเพียร ก็อาจจะเบื่อท้อกันไปเสียก่อน
    เห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ไหมครับ....โลภะ ความคาดหวังใคร่ได้ในผลไงครับ
    เมื่อไม่ได้ ไม่เป็น ดังที่หวัง ก็นำมาซึ่งความขุ่นข้อง เบื่อท้อ นั่นเองครับ


    2. แม้สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นระลึกรู้รูปนามอยู่ บ่อยๆ เนืองๆ
    แต่ก็ยังมีกำลังไม่พอเวลาที่เกิดทุกขเวทนา
    จึงมีความเป็นตัวตนที่พยายามไปรับรู้อารมณ์อื่นแทน
    เหมือนเราพยายามหลบหน้าศัตรู ก็ต้องคอยหลบอยู่เรื่อยไป
    แต่หากกล้าที่จะเผชิญหน้า ทีละนิดทีละหน่อย ค่อยเป็นค่อยไป
    ก็จะเห็นได้ว่าทุกขเวทนานั้นก็เป็นเพียงสภาวธรรมที่ปรากฏแล้วก็หมดไป
    จิตใจก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้นน่ะครับ การสั่งสมในชีวิตประจำวันนี้เอง
    ที่จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะใกล้ตายน้อมไปในทางใด...กุศลจิต หรืออกุศลจิต

    ส่วนที่ว่าจิตใกล้ตายนั้นไปจับอยู่กับท้องพองยุบ
    จะเป็นกุศลหรืออกุศล ต้องเกิดสติปัฏฐานระลึกรู้น่ะครับ
    กุศลจิตเป็นจิตที่ดีงาม สงบ ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว ไม่ติดข้องใดๆ
    เมื่อสติและปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็รู้ได้ตามจริงในสภาวธรรมต่างๆ
    สำหรับอกุศลจิต เป็นจิตที่ซัดส่ายไม่สงบ หวั่นไหวไปกับอารมณ์ต่างๆ
    หลงแล่นไปด้วยความติดข้องต้องการ ขุ่นมัว หยาบกระด้าง
    ไม่อาจรู้ในสภาวธรรมตามความเป็นจริง

    ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ เหมือนมีหน้าที่รดน้ำพรวนดิน
    เราก็ทำหน้าที่เป็นประจำสม่ำเสมอจนเป็นอุปนิสัย
    เมื่อเป็นอุปนิสัย ก็จะไม่เบื่อ ไม่ท้อ
    ส่วนดอกผลนั้นจะงอกงามพร้อมให้เก็บกินเมื่อใด...ก็เมื่อนั้น
    เมิื่อเหตุที่กระทำสมควรแก่ผลน่ะครับ

    อนุโมทนาครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย