บันทึกกรรมฐาน เสร็จเดือนตุลาคม 60
เรื่อง ทำเหตุใน "ศีล"
ศีล เหล่าใดเป็นศีลเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ศีลที่จะทำให้เกิดสมาธิได้ ต้องมีคุณสมบัติที่ปุถุชนเข้าถึงได้แล้วทำสันดานแห่งพระอริยะเกิดมีขึ้นแก่ผู้เจริญนั้น นั่นคือ
๑. ศีล..ที่ไม่ทำให้กายใจเราเร่าร้อน ..แต่เป็นศีลที่ทำให้เราเป็นที่สบายเย็นใจ
๒. ศีล..ที่ทำไว้ในใจโดยแยบคายซึ่งกุศลไม่หลงอยู่ ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ น้อมไปในการสละประโยชน์สุขอันปรนเปรอตน เกื้อกูลอิสระสุขแก่ผู้อื่น
๓. ศีล..เพื่อการละเว้นความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น คือ
- เว้นจากความโลภ เว้นจากอภิชฌา เว้นจากราคะความกำหนัดกระสัน เว้นจากความตระหนี่
- เว้นจากความโกรธ เว้นจากโทมนัส เว้นจากความเกลียดผูกเวร เว้นจากความผูกแค้นพยาบาท เว้นจากความริษยา
- เว้นจากความลุ่มหลงสมมติของปลอม เว้นจากความหลงในสุขอันไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนนาน สุขเพียงวูบวาบๆประเดี๋ยวประด๋าวชั่วคราวก็ดับไป แล้วประกอบไปด้วยทุกข์ในภายหลัง ยิ่งหวนระลึกถึงก็ยิ่งเป็นทุกข์
..ทุกข์เพราะมันแปรปรวน และ ดับไปของมัน
..ทุกข์เพราะความพรัดพราก
..ทุกข์เพราะความตรึกหน่วงนึกพอใจยินดี ในสิ่งไม่เที่ยง ไม่อยู่ยั่งยืนนาน อยู่ได้นานสุดกก็แค่หมดลมหายใจของตน
..ทุกข์เพราะความตรึกหน่วงนึกพอใจยินดี ในสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
..ทุกข์เพราะความคำนึงถึงถวิลหาด้วยความติดใจ ติดใคร่ แสวงหา ปารถนาทะยานอยากใคร่ได้ที่จะเสพย์
๔. ศีลที่เป็นรากฐานเอื้อประโยชน์ให้จิตตั้งมั่นไม่กวัดแกว่งเอนไหวไปตามกิเลส ..แต่เป็นไปเพื่อความฉลาดในการปล่อยวาง ไม่หลงอยู่กับสมมติของปลอม ศีลอันเป็นไปเพื่อสุขที่เนื่องด้วยใจที่อิ่มเอมเป็นสุขจากกุศลปล่อยวาง สุขจากการไม่แสวงหาความเนื่องด้วยกายและวาจา ยิ่งหวนระลึกถึงก็ยิ่งเป็นสุขจากศีลนั้น
๕. ศีลอันเป็นมรรคมีองค์ ๘ ศีลที่ประกอบด้วยสังวรปธาน(สัมมัปปธาน ๔) อันมีสติสัมปะชัญญะคลุมให้ตั้งอยู่ใน ๔ ข้อข้างต้นนั้น นั่นก็คือ ศีลของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
๖. อันเนื่องมาจากสัมมาทิฏฐิ ศีล คือ เจตนา, เจตนา คือ ศีล เจตนาละเว้นจากความเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ทำกาย วาจา ใจ ให้ผ่องใสเบิกบาน
เจริญศีลอย่างไรให้เป็นสบายไม่ขัดข้องใจ
๑. ศรัทธา ใจจะถึงศีลได้เราก็ต้องมีศรัทธาก่อน นั่นคือ ศรัทธาพระพุทธเจ้า เชื่อองค์พระบรมศาสดา เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง รู้เห็นเหตุ ปัจจัย แห่งกรรม รูู้ทางหลุดำ้นจากทุกข์จริง จึงทรงตรัสสอนเรื่องกรรม และ ทุกข์
ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ
- กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
- วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
- กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
- ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง ๙ ประการ(ตามบทสวดอิติปิโส หรือ พุทธคุณ นั่นเอง) ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้
สัทธรรม, สัจจะ, ไตรลักษณ์ฺ, สัทธา ๔..เป็นเหตุแห่ง..หิริ-โอตตัปปะหิริ-โอตตัปปะ..เป็นเหตุแห่ง..ทาน, พรหมวิหาร ๔, ศีลศีล..เป็นเหตุแห่ง..สติ, จิตผ่องใสปราโมทย์, อิ่มใจ, สงบ, สุข, สมาธิ
- พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อด้วยปัญญา ปัญญาพิจารณาในความเป็นเหตุเป็นผล ทบทวนตรวจสอบได้ สัมผัสและเห็นได้จริง ไม่ใช่เชื่อตามๆกันมา เอนเอียงเชื่อเพราะรักใคร่ เพราะเกลียด เพราะกลัว เพราะพลง เพราะไม่รู้ตามจริง
** ดังนั้นผู้ใดที่ไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้าก็จะเข้าไม่ถึงธรรม ไม่ถึงความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระพุทธเจ้า จิตเข้าไม่เป็นพุทธะ หรือเข้าถึงได้ก็ยากลำบากมากเพราะมันจะมีกิเลสนิวรณ์คอยขัดไม่ให้เราเข้าถึงรู้แจ้งชัดได้
๒. พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ก. ศรัทธาความเป็นผู้รู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้อะไร รู้แจ้งโลก รู้แจ้งธรรม รู้แจ้งสังขารธรรม รู้เหตุและผล รู้แจ้งดีและชั่ว รู้แจ้งคุณและโทษ รู้แจ้งชัดซึ่งกุศลและอกุศล รู้แจ้งชัดเรื่องกรรมและผลของกรรม รู้แจ้งชัดทางหลุดพ้นทุกข์และบ่วงกรรม ไม่มีใครเสมอเหมือน
ข. ศรัทธาความเป็นครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ศรัทธาความเป็นครูผู้ฝึกสอนบุรุษเพื่อถึงความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เข้าถึงธรรมอันลึกซึ้งได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เมื่อเชื่อสิ่งนี้เราก็จะเชื่อว่า..พระพุทธเจ้าสอนความจริง สอนทางกุศลดีงาม สอนทางชอบ สอนให้เรารู้จักกรรมและผลของกรรมตามความจริง พระตถาคตจึงได้ทรงสอนให้เราละเว้นในสิ่งที่ควรละ และ รู้จักเจริญในสิ่งที่ควรเจริญ
ค. เมื่อพิจารณาตรึกตรองถึงความเป็นเหตุเป็นผลอันเป็นข้อละเว้นทางกายและวาจาที่เรียกว่า ศีล อันพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว ที่สอนให้เจริญข้อละเว้นเหล่านั้นให้มาก จะเห็นได้ว่า..พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้แจ้งประจักษ์ทุกข์จากการกระทำทั้งปวง และ ผลของกรรมที่จะสืบทอดติดตามเรามาให้ได้รับผลของกรรมนั้น ดังนี้คือ..
- พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราใช้ปัญญาอันแยบคายพิจารณากำหนดรู้ทุกข์ ทรงตรัสสอนให้เราเห็นโทษและทุกข์จากการที่ดำรงชีพอยู่โดยไม่รู้จักหรือไม่สนใจให้ความสำคัญว่าสิ่งไหนดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ดำรงชีพอยู่โดยความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์มันให้ผลลัพธ์เป็นยังไง มันเร่าร้อน ร้อนรุ่มกลุ้มรุม ให้ร้อนรนระส่ำไม่เป็นปกติที่สบายกายใจยังไง แล้วผลแห่งการกระทำเหล่านั้นในภายหน้าจะส่งผลสืบต่อให้เป็นไปอย่างไรต่อไป
- พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราใช้ปัญญาอันแยบคายพิจารณาเห็นสิ่งที่ควรละ ทรงตรัสสอนให้เรารู้เห็นตามจริงถึงเหตุอันเป็นต้นตอที่ทำให้กายใจเราเร่าร้อน ร้อนรุ่ม ระส่ำดั่งไฟสุมกลุ้มรุมกายใจ หลงลืมไม่มีสติ ไม่รู้จักถูกและผิด ไม่รู้จักดีและชั่ว ไม่รู้จักกุศลและอกุศล ไม่รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร เป็นเหตุให้ไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาปอกุศลและผลของบาปกรรมนั้น เป็นผู้มีปกติอุปนิสัยที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์ นั่นก็คือ อภิชฌา และ โทมนัส สิ่งนี้เป็นเหตุให้เร่าร้อน สิ่งนี้เป็นเหตุที่ควรละ
1. อภิชฌา ในคำนั้นเป็นอย่างไร คือ จิตใจไม่บริสุทธิ์ มีใจประสงค์ร้ายเบียดเบียนผู้อื่น จิตใจแอบแฝงใคร่ได้หวังช่วงชิงฉุดพรากประโยชน์สุขของผู้อื่นมาปรนเปรอเป็นของตน มีความติดใคร่ ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความดีใจ ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนักแห่งจิต เพ่งเล็งหมายปองอยากได้ของผู้อื่นมาครอบครองเป็นของตน นี้เรียกว่าอภิชฌา.
2. โทมนัส ในคำนั้นเป็นอย่างไร คือ จิตใจขุ่นขัดไม่รื่นเริง ความไม่สำราญทางใจ ทุกข์ทางใจ ความตับแค้นใจ อัดอั้นใจ อึดอัดใจ เวทนาที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ ความโกรธ ความเกลียด ความเครียด ความแค้น ความพยาบาม ความมีจิตหมายให้ผู้อื่นฉิบหาย อันเกิดแก่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส.
- พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราใช้ปัญญาอันแยบคายพิจารณาเพื่อทำความดับทุกข์ให้แจ้ง โดยทรงสอนให้เห็นผลอันเกิดจากความที่เรามีปกติเป็นผู้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นมันเป็นที่เบากายเย็นใจอย่างไร มีความรู้กายรู้ใจอยู่ทุกขณะไม่หลงลืม เป็นผู้ไม่ตระหนี่ ไม่ริษยา รู้ดีรู้ชั่ว ไม่มีอภิชฌา โทมนัส มาปรุงแต่ง
ความดับทุกข์ พระองค์ทรงสอนให้เรารู้แจ้งถึงความสำราญเย็นใจรื่นรมย์ที่ได้รับจากความไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น มีจิตเป็นปกติ มีจิตเป็นสุขจากความไม่มี-ความดับไป-ความสื้นไปซึ่งเหตุแห่งทุกข์ที่ทำให้เร่าร้อนไม่สบายกายใจ ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป เมื่อเหตุแห่งทุกข์นี้ๆดับความเร่าร้อนจึงดับไม่มีอีก จึงประกอบไปด้วยคุณ คือ ความปกติที่สงบสุขเย็นกายสบายใจเป็นผล
- ทางที่จะดับเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นมีทางอยู่ทางเดียวคือ ศีล ทาน ภาวนา(อบรมจิตให้ตั้งมั่นและปัญญา)
สุขจากการการละอภิชฌา โทมนัส
เหตุแห่งทางที่จะละอภิชฌา-โทมนัส มี 3 ข้อดังนี้คือ
๑. หิริ ความละอายบาป ละอายใจต่อการทำความชั่ว
หิริ (อ่านว่า [หิ-หฺริ]) แปลว่า ความละอายแก่ใจ ความละอายต่อบาป หมายถึงความละอายใจตัวเองต่อการทำความชั่วความผิด ต่อการประพฤติทุจริตทั้งหลายและความละอายใจตัวเองที่จะละเว้นไม่ทำความดีซึ่งควรจะทำให้เกิดมีในตน เช่นบิดามารดามีความละอายใจที่จะไม่ดูแลบุตรของตน เช่นนี้เรียกว่ามีหิริ
หิริ เกิดขึ้นได้ด้วยการคิดถึงการศึกษา ฐานะ ยศศักดิ์ ชาติตระกูลของตน คิดถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น รวมกับความแกล้วกล้าของจิตใจที่จะไม่ทำชั่วเช่นนั้น
ดั่งพระเดชพระคุณ พระพุทธิสารเถระ หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฒฑโน ครูของเราผู้เเป็นพระอรหันตสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ท่านได้แสดงสัทธรรมเทศนาสอนเอาไว้ ซึ่งการนี้ผมจักขออนุญาตกล่าวตามในภาษาแบบที่ผมเข้าถึงได้ เข้าใจได้ ดังนี้ว่า..
เรื่องกรรม
การกระทำทั้งปวงของเราคือกรรม ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต การทำเหล่าใดคือกรรมทั้งสิ้น ดังนี้เราทำในปัจจุบันนี้ให้ดีเพื่อสืบต่อให้ดีไปในภายหน้า จริงๆแล้วคนเราอาศัยของเก่ามา เป็นเหตุปัจจัยให้ได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ทำในอดีตนั้นมาสู่ปัจจุบัน
- หากของเก่าทำทานมาดีจึงมีฐานะบ้าง รวยบ้าง มีเงินใช้จ่ายมากมาย มีบริวารมาก
- หากทำในศีลก็มีรูปร่างหน้าตาที่หมดจรดงดงาม ผิวพรรณดี อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
- หากทำจิตภาวนามาดี ก็มีสติปัญญามาก เป็นคนฉลาดหลักแหลม
- แต่จะมีสิ่งใดมากน้อยก็ตามแต่ของเก่าที่สะสมมา
(ดูเทสนาหลวงปุ่บุญกู้ว่า.. ทำไมเราถึงต้องทำสะสมเหตุ )
ไตรลักษณ์ หรือโลกธรรม ๘
ลาภ ยศ สรรเสริญ มันไม่เที่ยงอยู่ได้นานสึุดแค่หมดลมหายใจเรานี้ แต่สิ่งที่ติดตามเราไปก็ คือ กรรม คือบุญกับบาปเท่านั้น
- ละโลภได้ทาน มีทาน..ใจเราก็อยู่เหนือโลภ
- ละโทสะ ความโกรธแค้น ความพยาบาทเบียดเบียนได้ศีล มีศีล..ใจเราก็อยู่เหนือโทสะ
- ละหลงได้ภาวนา มีภาวนาอบรมจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา รู้จักพอ ฉลาดในการปล่อยวาง ..ใจเราก็อยู่เหนือโมหะ ความหลงติดข้องอยู่กับสมมติของปลอมในโลก ใจก็อยู่เหนือโลก(โลกียะผู้ข้องด้วยกิเลสตัณหาทะยานอยาก)
อานิสงส์
การได้เกิดมาเป็นคนนี้มันยาก ต้องมีศีลจึงจะได้ไปเป็นคน เกิดมาเจอพระพุทธศาสนานี้ยากกว่า การได้พบเจอพระพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนธรรมนี้ยากมาก ดังนั้น..ก่อนตายเราได้หาได้ทำกำไรชีวิตไว้แล้วหรือ สิ่งที่เป็นกำไรชีวิตของเราสะสมให้เราได้รับผลสืบไปนั้นคือ ทาน ศีล ภาวนา กุศลผลบุญทั้งปวงเหล่านี้เราได้ทำแล้วหรือยัง..
- อานิสงส์จากการให้ทาน สละให้ และชอบช่วยเหลือแบ่งปันผู้อื่น ในภายหน้าก็จะสบายมีทรัพย์สิน ฐานะ บริวารดี มีมิตรกัลยาณมิตรมาก
- อานิสงส์จากการเจริญศีล ก็ทำให้ได้เกิดมาเป็นคนอีก มีรูปพรรณสันฐานอันงาม ครบ ๓๒ ประการ ไม่พิกลพิการ ไม่มีคนมุ่งร้าย ศัตรูภัยพาลแพ้ภัยตนเอง
- อานิสงส์จากการภาวนาอบรมจิต ก็ทำให้เป็นฉลาด มีไหวพริบไม่โง่ลุ่มหลงง่าย มีสติแยกแยะพิจารณาว่องไหว
(ดูเทสนาหลวงปุ่บุญกู้ว่า.. ทำไมเราถึงต้องทำสะสมเหตุ )
.. แต่หากเรายังไม่ได้ทำกำไรชีวิตสะสมเหตุเหล่านี้ก็เสียชาติเกิด ที่มีโอกาสได้เกิดเป็นคน ได้มาพบเจอพระพุทธศาสนา
.. เพราะบางคนบางพวกลำบากยากแค้นไม่มีมิตรขาดคนช่วยเหลือดูแล บางคนจิตใจสกปรกชั่วร้าย บางคนโง่ไม่ฉลาดไม่ทันโลก ไม่มีสติ หลงง่าย เพราะเขาไม่มีโอกาสได้เจอพระพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมแท้จริงนำทางชีวิตให้พ้นจา่กสิ่งที่ชั่ว จึงไม่รู้จักการสะสมเหตุ ทาน ศีล ภาวนา ทำผิดศีลธรรมอันงามอยู่มากมาย ก็ทาน ศีล ภาวนานี้แหละที่จะเป็นบุญบารมีติดตามเราไปทุกภพชาติตราบจนถึงพระนิพพานตามพระพุทธศาสดา
(สิ่งที่ชั่ว โดยนัยยะที่เราเข้าใจ คือ สิ่งที่เป็นความเสื่อมเสีย เมื่อทำแล้วยังความเสื่อมเสียแห่งสติปัญญามาให้ ทำให้ใจเศร้าหมอง มัวหมองเร่าร้อนกาย วาจา ใจ ทำให้ดำรงชีพอยู่ด้วยความเย็นใจปราศจากเวรภัยต่อตนเองและผู้อื่นไม่ได้ นำเอาความฟุ้งซ่านไม่สงบกายใจ สัดส่ายเหลาะแหละ อ่อนไหวลุ่มหลงง่ายมาให้ มีชีวิตอยู่บนความเบียดเบียนทำร้ายตนองและผู้อื่นให้เดือนร้อนเสียหายอยู่เสมอ)
ระลึกถึงฐานันดร โครต ตระกูล ทรัพย์สมบัติ สิ่งที่ทำ เฝ้าเพียรสร้างทำสะสมมา อริยะทรพย์ที่ตนสะสมมา เช่น ทาน สีล ภาวนาเป็นต้น
ดังนี้แล้วเมื่อเรามีการศึกษาดี มีความรู้ มีหน้าที่การงาน มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีฐานะดี มีอยู่มีกินดี มีสถานภาพการครองชีพของตนดีอยู่แล้ว สูงแล้ว เราจะไปเบียดเบียนทำร้ายกลั่นแกล้งคนอื่นหรือคนที่ต่ำกว่าเราไปทำไม เพื่อสิ่งใด ก็ทั้งๆที่ตนเองอยู่สูงกว่าเขามีฐานันดรที่ดีกว่าเขา ยศศักดินาดีอยู่แล้ว ยังจะไปเบียดเบียนเขาให้ได้อะไร ยิ่งเรามีดีกว่าเขาแล้วแต่เขาต่ำกว่าเราด้อยกว่าเรา เราจะยังไปเบียดเบียนทำร้ายเขาอีกทำไม อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราต่ำกว่าเขาเสียอีก..
ก. ดั่งคำสอนของพระบรมศาสดา คือ ยศฐาบรรดา ศักดิ์ โครตเหง้า เหล่าตระกูลของของเราเป็นชนชั้นที่ดีแล้ว สูงแล้ว ท่านต่างทำสะสมมาดีแล้วเพื่อตัวเรา ดังนี้แล้วอย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ หรือสุขเพียงชั่วคราวของเรา ทำให้สิ่งที่บรรพบุรุษเราทำสะสมมาดีแล้วต้องพินาศสิ้นไป
ข. ดั่งคำสอนของพระบรมศาสดา คือ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ หรือ สุขเพียงเล็กน้อยวูบวาบชั่วคราวเหล่านั้นของเรา มาทำให้สิ่งที่เราได้เพียรประครองสร้างสะสมเหตุมาดีแล้วนั้นต้องสูญเปล่า ทั้งโภคทรัพย์สมบัติ และ อริยะทรัพย์ที่ได้ทำมาดีงามแล้วทั้งหมดเหล่านี้ต้องสูญสิ้นวินาสพังลงไป..ด้วยการเสพย์เสวยอารมณ์ความรู้สึกชั่ววูบ หรือสุขเพียงเล็กน้อยที่เนื่องด้วยกายเพียงชั่วคราวเหล่านั้น..
ค. ดั่งคำสอนของพระบรมศาสดา คือ ขัดเขลาใจด้วยความเห็นเสมอด้วยตน
- เราไม่ชอบใจอย่างไร..ก็อย่าไปทำกับคนอื่นอย่างนั้น
- สิ่งใดที่เราถูกกระทำแล้วรู้สึกอัดอั้นคับแค้นกายใจ เราก็อย่าไปทำกับคนอื่นอย่างนั้น
- สิ่งใดที่เราทำ หรือถูกกระทำแล้วยังความเสื่อมฉิบหายให้เกิดมีแก่เรา เราก็อย่าไปทำกับคนอื่นเขาอย่างนั้น
..เช่น เราเป็นหัวหน้างาน มีตำแหน่งหน้าที่การงานฐานะดีใหญ่โตอยู่แล้ว ยังไปแกล้งลูกน้องที่ต่ำกว่าตน ไปเลียดเลียนเขา คอยหาทางกลั่นแกล้งทำร้ายเขา ทั้งๆที่ตนอยู่สูงกว่า ทำเหมือนอิจสา ริษยาเขา เทียบเขาไๆม่ได้ทั้งๆที่เขาต่ำกว่าตนแท้ ทำให้ให้ตนเศร้าหมองเร่าร้อนที่ต้องคอบหาทางเบียดเบียนทำร้ายเขา เป็นเหตุให้ตนอยู่แบบธรรมดาดีๆสบายๆเย็นใจไม่ได้ แถมยังเป็นบาปเป็นกรรมสะสมพกติดตัวไปด้วยอีกต่างหาก มิหนำซ้ำยังทำให้ตนเองและครอบครัวเสื่อมเสียเปล่าๆ หากมีใครมาคอยตั้งแง่ อคติ ๔ คือ ลำเอียงเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะไม่รู้ตามจริง กับเรา คอยทำแบบที่เราทำเขานี้ทั้งๆที่เราไม่เคยคิดร้ายไม่เคยทำความเดือร้อนเบียบดเบียนให้เขา ดังนี้แล้วเราเป็นสุขหรือสำราญใจมากใช่หรือไม่ ก็คงไม่ใช่ใช่ไหม สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปวงอันเป็นที่รัก ที่เจริญใจ ที่แสวงหา ต้องการ อยู่ได้นานสุดก็แค่หมดลมหายใจเรานี้เท่านั้น แล้วยังจะไปเบียดเบียนเขาอีก โกงกินชาติ ทำร้ายผู้อื่น หรือคนที่ต่ำกว่า หรือโกงกินทำร้ายประเทศชาติ มันก็สะสมกรรมชั่ว บารมีชั่วไว้เสวยทั้งที่ตอนยังมีชีวิตอยู่ บ้ั้นปลายชีวิต ภพ ภูมิ ชาติหน้าสืบไป
คนเราเกิดแต่กรรมสุดท้ายก็มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่ติดตามเราไปปได้ สิ่งของ เงินทอง ชื่อเสียง มันอยู่ไม่นาน แต่ที่ยั่งยืนนานติดตามเราไปทุกๆขณะเวลา ทุกวัน ทุกปี ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกชาติ คือ กรรม วิบากกรรมเท่านั้น ยศฐา ทรัพย์สิ่น สิ่งของหรือบุคลอันเป็นที่รักไม่ได้ตายติดตามเราไปด้วย รู้อย่างนี้กระนั้นยังจะสะสมบาปกรรมไปเพื่ออะไร ที่ตนมีอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว ควรทำจิตให้ผ่องใส มีใจเอื้อเฟื้อ เว้นจากความเบียดเบียน ทำทาน ศีล ภาวนาอบรมจิต ไม่เหลาะแหละอ่อนแอหวั่้นไหวไปกับสิ่งที่ชั่ว สะสมเหตุในกุศลกรรมทั้งปวงเหล่านี้ มันจะสะสมเหตุดีบารมีกุศลติดตามเราไปให้ได้เสวยสุขรำราญในภายภาคหน้าทุกชาติภพ ตราบจนถึงพระนิพพานนั้นแล
๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาป เกรงกลัวต่อความชั่วและผลของกรรมชั่ว
โอตตัปปะ (อ่านว่า โอดตับปะ) แปลว่า ความเกรงกลัว หมายถึงความสะดุ้งกลัวต่อผลของความชั่ว ต่อผลของความทุจริตที่ทำไว้
โอตตัปปะ เป็นอาการของจิตที่หวั่นไหวเมื่อจะทำความชั่ว เพราะกลัวความผิดที่จะตามให้ผลในภายหลัง เกิดขึ้นได้เพราะคิดถึงโทษหรือความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำชั่ว จากการประพฤติทุจริตของตน เช่น ตัวเองเองต้องเดือดร้อน เกิดความเสียหาย เสียทรัพย์สินเงินทอง เสียอิสรภาพ หรือถูกคนอื่นตำหนิติเตียน ถูกสังคมรังเกียจ เป็นต้น
ง. ดั่งคำสอนของพระบรมศาสดาใน ศรัทธา ๔ ที่ว่า
_สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา
_กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา
..สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน, มีกรรมเป็นผู้ให้ผล,
..มีกรรมเป็นแดนเกิด, มีกรรมเป็นผู้ติดตาม,มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศ้ย
_ยัง กัมมัง กะริสสันติ, กัลฺยาณัง วา ปาปะกัง วา,
_ตัสสะ ทายาทา ภาวิสสันติ
..จักทำกรรมอันใดไว้, เป็นบุญหรือเป็นบาป,
..จักต้องเป็นผู้ได้รับผลกรรมนั้นๆ สืบไป
- ความเสมอด้วยความรู้สึกนึกคิด คือ สิ่งมีชีวิตในโลกล้วนมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกที่เสมอด้วยกัน ดังนี้จึงมีรัก มีโลภ มีโกรธ มีชอบ มีชัง มีลุ่มหลง เสมอด้วยกันทั้งสิ้นไม่ต่างกัน เมื่อเสมอด้วยกันแล้วจะอคติลำเอียงด้วยเลิกเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะไม่รู้จริงกันเพื่อสิ่งใด ดังนี้ควรมีใจเป็นกลางเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันเพื่อประโยชน์และความสุขด้วยกัน เมื่อต่างคนต่างมีแต่สุขสำเร็จดีงามเสมอด้วยกันแม้จะในรูปแบบที่ต่างๆกันไปตามแต่ฐานะ สัตว์ย่อมไม่มีความปองร้ายเบียดเบียนกันให้รุ่มร้อน ร้อนรน ยังความฉิบหายให้กัน ไม่ทำร้ายกันสืบไป (ผู้ใดละเว้นความเบียดเบียนได้มากย่อมมีใจสูงกว่าและทุกข์น้อยกว่าคนที่เบียดเบียนเขามาก)
- ความเสมอด้วยกรรม ก็เมื่อสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะงาม ทราม หยาบ ละเอียด ใหญ่ ยาว ขาว ดำหรือไรๆ ต่างมีกรรมเป็นแดนเกิด พึ่งพา อาศัย ติดตาม เป็นทายาทได้รับผลของกรรมนั้นสืบไปเสมอด้วยกัน จึงต้องมายึดครองขันธ์ ๔ เสมอกัน มาพบเจอกัน เพราะติดค้างกัน หรือทำร่วมกันมาแต่กาลก่อนไม่ว่า จะเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมก็ตาม จึงทำให้มี ฐานะ รูปร่าง สันฐานที่ต่างกัน ได้รับโอกาสดีๆต่างกัน มาเจอกันบางฝ่ายเกื้อกูลกัน บางฝ่ายทำร้ายกัน ดังนี้แล้วเมื่อต่างก็เกิดแต่กรรม มันก็ไม่ต่างกัน แล้วจะแบ่งแยกกันเลือกที่รักที่ชังไปเพื่ออะไร เขาเป็นอย่างนั้นก็เพราะกรรมเก่าและใหม่ที่เขาได้ทำสะสมมาให้เป็นไป เราเป็นอย่างนี้ก็เพราะกรรมเก่าและใหม่ได้ทำสะสมมาให้เป็นไป เมื่อเสัตว์ต่างก็มีกรรมเป็นแดนเกิด พึ่งพา อาศัย ลิขิต สืบสานติดตามเสมอกัน จะทำการกระทำใดๆอันเบียดเบียนกันเพื่อสิ่งใด
- กายในกายที่เสมอกัน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ก็แค่อาการ ๓๒ ธาตุ ๖ ที่ประกอบเข้ากันเสมอกันทั้งสิ้น ดังนี้แล้วจะไปจงเกลียด จงชัง ลุ่มหลง รังแก กันเพื่อประโยชน์เหล่าใด มีหูซ้ายข้างเดียวเสมอกัน มีปอด 2 ข้างเสมอกัน มีเส้นเลือดเหมือนกัน มีเนื้อหนังเหมือนกัน จะกลั่นแกล้งกันก็เหมือนเราแกล้งตนเอง เพราะมีไม่ต่างกัน ดังนี้แล้วจะเลือกที่รัก มักที่ชัง เบียดเบียนทำร้ายกันเพื่อสิ่งใด ให้เป็นเวรเป็นกรรมอันเร่าร้อนกายใจซึ่งกันและกันเปล่าๆ กลั่นแกล้ว หรือผูกพยาบาทหวังทำร้ายฆ่ากันให้ฉิบหายไปข้างข้ามภพขชาติเหมือนพระองคุลีมาลย์ ที่ต่างเจ็บปวดเสมอกันทั้งผู้รับและผู้กระทำข้ามภพชาติกัน ไม่มีความสุขความเจริญเหล่าใดเกิดขึ้น มีแต่ความฉิบหายเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นตั้งอยู่แก่กันและสืบไปทุกครั้งที่พบเจอกัน
- แรงกระทำเสมอกันกับแรงสะท้อนกลับ เพราะการกระทำทั้งปวงจะมีพลังสะท้อนกลับสู่เราทั้งสิ้น ทำดี เราก็ได้ดี เหมือนมีคนดีกับเรา..เราก็รักใคร่เคารพเขา ฉันใด เราเว้นจากความเบียดเบียนแก้ใคร..เราก็ได้รับเย็นกายสบายใจกลับคืนมาฉันนั้น เพราะไม่มีความเร่าร้อน ไปอยู่ที่ใดก็เย็นใจผ่องใสเป็นที่สบาย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องระแวง ใครจะมาดีกว่าตน จะอยู่สูงกว่าตน หรือจะมาทำร้ายตน ไม่ต้องแสวงหาอาทรเอาสิ่งมด หรือความเคารพศรัทธาจากใครเพราะการทำดีมีใจเอื้อเฟื้อเว้นจากความเบียดเบียนของเรามันสร้างสิ่งนี้ให้แก่เราอยู่แล้ว ไม่มีความอิจฉา ริษยาต่อใคร ไม่ตระหนี่หวงแหนวิตกกังวลใจ
หากคนเรามีกรรมเสมอกันไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมมีความคิดนิสัย การกระทำที่เอื้อเฟื้อกัน หากทุกคนมีกรรมดีทั้งหมดเสมอด้วยกัน ก็ย่อมช่วยเหลือเกื้อกูลให้ซึ่งกันและกันให้ได้ดี ไม่เดบียดเบียนทำร้ายให้กันและกันต้องเป็นทุกข์กายใจ ดังนี้แล้วเราควรแผ่และควรกระทำทาง กาย วาจา ใจ อันดีงามมีจิตผ่องใส มีใจเอื้อเฟื้อ เว้นจากความเบียดเบียนของเราให้แก่เขาเสมอกันกับที่เราจำเริญใจ
โอตตัปปะ เป็นธรรมคุ้มครองโลกคู่กับหิริ เพราะคนที่มีโอตตัปปะย่อมกลัวที่จะทำความผิด ทำให้งดเว้นจากการประพฤติต่างๆ ได้ อันเป็นเหตุให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข เกิดสันติภาพขึ้น
๓. กำหนดรู้ทุกข์ แล้วสืบต่อครบไปในรอบ ๓ อาการ ๑๒ ใน พระอริยะสัจจ ๔
- สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนให้เราใช้ปัญญาอันแยบคายพิจารณากำหนดรู้ทุกข์ ทุกขอริยะสัจ พระอริยะสัจ ๔ พิจารณาดูสภาพความเป็นไปในสิ่งต่างๆเพื่อความแจ้งแทงตลอด ดังนั้นให้เรากำหนดรู้ซึ่งทุกข์เพื่อเข้าถึงความเป็นธรรมชาติของโลกจากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
- กำหนดรู้ทุกข์โดยธรรมชาติ สภาวะอาการ ความรู้สึก ที่เกิดมีแก่ตนว่า..
1/1. เมื่อเสพย์สิ่งนี้ๆ.. ความรู้สึกหน่วงนึกที่ได้เสวยต่ออารมณ์นั้นเป็นไฉน ลักษณะ อาการ สภาวะ ความจำสำคัญมั่นหมายรู้ในอารมณ์ ความตรึกนึก มุมมองต่างๆจากการรับรู้สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้นเป็นอย่างไร |
1/2. เมื่อสิ่งนี้ๆเกิดมีขึ้นในเรา เรามีสิ่งนี้ๆแล้ว.. ความรู้สึกหน่วงนึกที่ได้เสวยต่ออารมณ์นั้นเป็นไฉน ลักษณะ อาการ สภาวะ ความจำสำคัญมั่นหมายรู้ในอารมณ์ ความตรึกนึก มุมมองต่างๆจากการรับรู้สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้นเป็นอย่างไร |
2/1. เมื่อไม่เสพย์สิ่งนี้ๆ.. ความรู้สึกหน่วงนึกที่ได้เสวยต่ออารมณ์นั้นเป็นไฉน ลักษณะ อาการ สภาวะ ความจำสำคัญมั่นหมายรู้ในอารมณ์ ความตรึกนึก มุมมองต่างๆจากการรับรู้สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้นเป็นอย่างไร |
2/2. เมื่อไม่มีสิ่งนี้ๆเกิดมีขึ้นในเรา เราไม่มีสิ่งนี้ๆแล้ว..ความรู้สึกหน่วงนึกที่ได้เสวยต่ออารมณ์นั้นเป็นไฉน ลักษณะ อาการ สภาวะ ความจำสำคัญมั่นหมายรู้ในอารมณ์ ความตรึกนึก มุมมองต่างๆจากการรับรู้สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้นเป็นอย่างไร |
๑ก.การที่เรามีชีวิตอยู่ตามปรกติด้วยความ ไม่มีศีลธรรมข้อละเว้น คือ มีปรกติอยู่ด้วยการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ มั่วกามเมถุน พูดปด ส่อเสียด หยาบคาย กินเหล้าเมายา อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน หมายใจแย่งชิงเอาของผู้อื่นมาครอบครอง ตระหนี่ ริษยา เป็นผู้มักโกรธ โวยวาย อารมณ์ร้าย มักอคติลำเอียงเพราะรัก-ชัง-กลัว-ไม่รู้ เป็นปรกตินิสัย ชีวิตเรานี้มันสุขเย็นกายสบายใจ หรือ ต้องร้อนรุ่ม เร่าร้อน แสวงหา หมกมุ่นใคร่ที่จะได้เสพย์สมในสิ่งนั้นๆหรือไม่อย่างไร
๑ข. การที่เรามีชีวิตอยู่ตามปรกติด้วยความ มีศีลธรรมข้อละเว้น คือ มีปรกติอยู่ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดมั่วกามเมถุน ไม่พูดปด ไม่ส่อเสียด ไม่หยาบคาย ไม่กินเหล้าเมายา ไม่หมายเอาของคนอื่นมาเป็นของตน ไม่หมายใจแย่งชิงเอาของผู้อื่นมาครอบครอง ไม่ตระหนี่ ไม่ริษยา ไม่เป็นผู้มักโกรธ มีความยุติธรรมเป็นกลางไม่อคติลำเอียงเพราะรัก-ชัง-กลัว-ไม่รู้ เป็นปรกตินิสัย ชีวิตเรานี้มันสุขเย็นกายสบายใจ หรือ ต้องร้อนรุ่ม เร่าร้อน แสวงหา หมกมุ่นใคร่ที่จะได้เสพย์สมในสิ่งนั้นๆหรือไม่อย่างไร
๒ก. ความสุขในการ ไม่เจริญศีลข้อละเว้นทาง กาย วาจา ใจ ของพระพุทธเจ้านั้น ..สุขนี้มันอยู่ยั่งยืน ขัดเกลาใจเราให้ไม่เร่าร้อนเย็นใจอยู่เป็นสุขได้โดยไม่อาศัยเครื่องล่อใจเหล่าใด ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ติดใคร่ไหลตาม ไม่หมกมุ่นความเสพย์สมอารมณ์หมาย หรือ สุขเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบแล้วก็ดับไป แล้วก็แสวงหาทะยานใคร่กระทำต่อเรื่อยๆจนเป็นจริต อุปนิสัย
(จึงมักมีคำสอนว่าคนดีทำดีง่าย ทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำดียาก ทำชั่วได้ง่าย สุขทางโลกมันเริ่มจากสุขมากไปหาความทุกข์ยากลำบากเสื่อมสูญในภายหน้า ไม่คงอยู่เที่ยงแท้ยั่งยืนอยู่นานสุดก็แค่หมดลมหายใจเรานี้เท่านั้น ยิ่งเสพย์ยิ่งขาดทุนยิ่งทุกข์ยิ่งเร่าร้อนสูญเสีย ยังผลให้บารมีการขาดทุนเสื่อมสูญติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ)
๒ข. ความสุขในการ เจริญศีลข้อละเว้นทาง กาย วาจา ใจ ของพระพุทธเจ้านั้น..สุขนี้มันอยู่ยั่งยืน ขัดเกลาใจเราให้ไม่เร่าร้อนเย็นใจอยู่เป็นสุขได้โดยไม่อาศัยเครื่องล่อใจเหล่าใด ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ติดใคร่ไหลตาม ไม่หมกมุ่นความเสพย์สมอารมณ์หมาย หรือ สุขเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบแล้วก็ดับไป แล้วก็แสวงหาทะยานใคร่กระทำต่อเรื่อยๆจนเป็นจริต อุปนิสัย
(จึงมักมีคำสอนว่าคนดีทำดีง่าย ทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำดียาก ทำชั่วได้ง่าย สุขทางธรรมมันเริ่มจากทุกข์ยากลำบากไปหาอมตะสุขที่ไม่มีเสื่อม เป็นบารมีกำไรชีวิตพอกพูนขึ้นติดตามเราไปในทุกภพทุกชาติ)
ก. พิจารณาดูว่า..จากการก้าวล่วงเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทางมโนกรรม, วจีกรรม และ กายกรรม มันส่งผลยังไง มันดีหรือไม่ดี เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ร้อนรุ่มหรือขัดเกลาใจให้เราเย็นสบายกายใจอยู่ได้ด้วยไม่อาศัยเครื่องปรนเปรล่อใจสิ่งใด |
ข. พิจารณาดูว่า..จากการไม่ก้าวล่วงเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทางมโนกรรม, วจีกรรม และ กายกรรม ดั่งในศีล ๕ เป็นต้น มันส่งผลยังไง มันดีหรือไม่ดี เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ร้อนรุ่มหรือขัดเกลาใจให้เราเย็นสบายกายใจอยู่ได้ด้วยไม่อาศัยเครื่องปรนเปรอล่อใจสิ่งใด
|
- ทำกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในละเว้นซึ่งความเบียดเบียน เมื่อเข้าถึง กรรม ไตรลักษณ์ หิริโอตัปปะ แล้ว เกิดความเห็นชอบ สัมมาทิฐิ จิตย่้อมแล่นลงในศีลอันงาม ศีลที่เป็นปรกติของจิต มีความเย็นใจไม่เร่าร้อน มีใจชื่นบานผ่องใส ที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะเหลือศีลเพียงข้อเดียว คือ ศีลใจ นั่นคือ มีเจตนาเป็นศีลนั่นเอง
..เช่น..หากเราบวชอยู่แล้วบังเอิญคิดถึงผู้หญิงแล้วเกิดน้ำสุกกะหลั่งโดยไม่ได้ไปสัมผัสอวัยวะเพศแต่อย่างใดไม่มีการจับ หนีบ ลูบ แตะ เกร็งทั้งสิ้น ข้อนี้ยังไม่ถึงสังฆาทิเสส แต่อาจลงเป็นอาบัติสะสมคือ ทุกกฏ ดีที่สุดคือถามครูอุปัชฌาย์ แล้วปลงอาบัติ ขออยู่ปริวาสเพื่อล้างอาบัติยิ่งดีใหญ่
ต่อมาด้วยประการดังกล่าวจากความบังเอิญแล้วตนทำใจไว้ว่า ตนแค่คิดถึงผู้หญิงน้ำสุกกะก็หลั่งได้ ให้น้ำสุกกะไหลโดยไม่ได้เอามือจับแตะทำชักว่าว โดยประมาณคาดว่าไม่สำเร็จสังฆาทิเสส ..หลังจากนั้นก็ทำความนึกถึงผู้หญิงลงกามเมถุนด้วยหมายให้น้ำสุกกะหลั่งเองอีก จนสำเร็จผลตามต้องการ ถือเป็นอาบัติสังฆาทิเสส คือ เจตนาแกล้งให้น้ำอสุจิเคลื่อนไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แม้ไม่ใช้มือ ร่างกายทำ แต่มีเจตนาให้สำเร็จความใคร่น้ำสุกกะหลัง ด้วยรู้ว่าตนเองแค่ทำความนึกถึงในเมถุนด้วยประการอย่างนี้ๆน้ำสุกกะก็หลั่งได้
ดังนั้นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้จึงมีเจตนาละเว้นสิ่งเหล่าใดทั้งปวงที่ก่อให้เกิดการผิดพระวินัยทั้งปวง มีเจตนาเป็นศีล มีเจตละเว้น มีศีลเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส แกุศลอันลามกจัญไรทั้งปวง เพื่อถึงซึ่งความหลุดพ้น ความไม่มีอีก
* การอาบัติในทางพระวินัย ร่วมด้วยเจตนา ๓ คือ
1. กระทำที่ใจ
2. ลงมือกระทำตามวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะด้วย กาย วาจา ใจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นอันที่ตนต้องการ สำเร็จผลตามที่ตนต้องการ แต่ผลสำเร็จนั้นเป็นข้อห้าม ข้อละเว้น ข้ออาบัติในพระธรรมวินัย
3. ทำสำเร็จ
* หากครบองค์ ๓ ก็เป็นอาบัติตามพระวินัยทันที หากมีเจตนากระทำ แต่ไม่ได้ทำก็ยังไม่อาบัติในข้อนั้นๆ หากเจตนาทำและได้ทำแล้วแต่ไม่สำเร็จก็เป็นอาบัติอีกอย่าง อุปมาเหมือนทางโลกที่มีแบ่งโทษคดีหนังเบาในการฆ่าคน เป็น ฆ่าโดยเจตนา ฆ่าโดยไม่เจตนา ฆ่าโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งโทษจะหนักเบาต่างกันไป *
** ด้วยเหตุของการแสดงธรรมแห่ง หิริ-โอตตัปปะ คือ กรรม วิบากกรรม, โลกธรรม ๘, อานิสงส์, ความเสื่อม ความสูญเสียแห่งโภคทรัพย์และอริยะทรพย์ที่ตนสะสมมา ความเห็นเสมอกันไม่แบ่งแยกเขา-เรา ลงสู่การกำหนดรู้ทุกข์ เข้าสู่พระอริยะสัจ ๔ ทั้งหมดนี้แลทำให้ความละอายเกรงกลัวต่อบาปนี้ เกิดมีลงใจแก่ผู้ที่สะสมเหตุบารมีมาดีแล้ว ควรแก่การทำ ทาน ศีล ภาวนา ให้ถึงซึ่ง สุจริต ๓ และ มหาสติปัฏฐาน เพื่อยังโพชฌงค์ ๗ ให้เกิดขึ้น ถึงแก่วิมุติธรรม วิมุติสุข
ศีล ต้องบริสุทธิ์แค่ไหนถึงจะเกิดสมาธิ
ศีลของตนนั้นบริสุทธิ์พอจะเป็นสัมมาสมาธิได้ไหม ให้พิจารณารู้สภาวะจิตของตนดังนี้คือ
ขณะที่เราเจริญในศีลนั้น มีจิตประครองอยู่ด้วยความเพียรเผากิเลสอกุศลธรรมอันลามกจัญไร เพื่อปิดกั้นบาปอกุศลทั้งปวงที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือที่เกิดขึ้นแล้ว
ขณะที่เราเจริญในศีลนั้น เรามีความตื่นตัวรูู้ตัวอยู่เสมอๆหรือไม่ รู้ปัจจุบันขณะที่ตนกำลังดำเนินไปอยู่เสมอๆ ทุกๆขณะที่ทำอะไรหรือไม่ ทำให้สติตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว น้อมนำจิตให้จดจ่อตั้งมั่นตาม ทำให้ถึงความสงบใจไม่กวัดแกว่งไปตาม อภิชฌา โทมนัส ทำให้เราไม่เร่าร้อนกายใจ มีจิตประครองอยู่ด้วยความเพียรเผากิเลสอกุศลธรรมอันลามกจัญไร
- มีศีลอยู่ด้วยความเย็นเบาใจ เป็นที่สบาย ไม่เร่าร้อน จิตไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆ ไม่ฟุ้งซ่านผูกใจคิดระคนสุมรุมใจ มีความปลดปล่อยใจให้สบาย ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆ จิตแช่มชื่นชื่นบาน ไม่ฟุ้งซ่าน ศีลลงใจเป็นเจตนาไม่กระทำเจตนาต่ออารมณ์อันเร่าร้อน ร้อนรุ่ม มีความสบายกายใจ จิตนี้เหมาะควรจะทำสมาธิ
- ศีลเครื่องละเว้นขัดเกลาจิตจากความเบียดเบียนและเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงอันพระบรมศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมทำให้เย็นใจไม่เร่าร้อน
- ความเย็นใจไม่เร่าร้อน มีความผ่องใสชื่นบานเบาสบายไม่ตรึงหน่วงจิตเป็นอานิสงส์
- จิตที่ผ่องใสไม่เศร้าหมอง มีความอิ่มใจเป็นอานิสงส์
- ความอิ่มใจซาบซ่าน มีความสงบเป็นอานิสงส์
- ความสงบอันบริสุทธิ์ปราศจากความเจือปน มีสุขเป็นอานิสงส์
- ความสุขอันแช่มชื่นรมย์อันบริสุทธิ์ปราศจากเครื่องล่อใจ มีสมาธิเป็นอานิสงส์
- จิตที่ตั้งมั่นแนบแน่นไม่ปรุงแต่งสมมติเหล่าใด มีสติอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไม่ทำ ไม่บังคับ ไม่ปรุงแต่ง มีปัญญาเป็นอานิสงส์
เมื่อล่วงพ้นเกินกว่าอุปนิสัย แต่เป็นเจตนาเครื่องละเว้นอันแจ้งแทงตลอดลงใจ มันมีแต่ความเย็นกายสบายใจ ไม่เร่าร้อน จิตผ่องใส เย็นใจ ไม่คิดมาก ไม่คิดร่ำไร ไม่เพ้อรำพัน ตั้งมั่นอยู่ด้วยปัจจุบัน ไม่สัดส่ายคำนึงถึงสิ่งอันเป็นเครื่องเร่าร้อนเหล่าใดทั้งปวง
จิตแต่นั้นก็เข้าสมาธิได้ง่ายไม่ลำบาก ไม่ตั้งมั่นผิด
|