ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ เป้นธรรมที่ควรโอปะนะยิโก คือ น้อมเข้ามาสู่ตน ธรรมนั้นพึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ซึ่งได้มีครูบาอาจารย์พระอริยะสงฆ์ พระอรหันตสงฆ์ ที่เป็นครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของผม มีหลวงปู่บุญกู้ อนุวัฒฑโน (พระพุทธสารเถระ วัดอโสการาม) เป็นต้น ท่านได้กรุณาแนะนำเทศนาสั่งสอนมาโดยตรงแก่ผม ผมได้โอปะนะยิโกน้อมเอาธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นแนวทางปฏิบัติและเข้าถึงจนเห็นผลต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของปุถุชนอย่างผมได้ดังนี้...
หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า..
..ธรรมนั้นมาจากปุถุชนที่ยังไม่ถึงธรรมจริงอย่างผมเท่านั้น
..ไม่ใช่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนโดยตรง
..ไม่ใช่ธรรมเทศนาจากพระอรหันตสงฆ์สาวกโดยตรง
..เป็นเพียงธรรมที่ปุถุชนผู้ยังสมมติของปลอม ยังไม่ถึงของจริง ยังเห็นสัมผัส และคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดอย่างผมมีโอกาสได้รู้เห็นตามสมมติของจิต แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินี้ๆเท่านั้น
หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน อันมีพระอรหันตสงฆ์สาวก และ พระอริยสงฆ์สาวก ของสมเด็จพระบรมพุทธศาสดาได้เผยแพร่สั่งสอนธรรมมาจนถึงผมและท่านทั้งหลาย ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ ผมขอสาธยายธรรมอันที่ปุถุชนอย่างผมพอจะรู้เห็นเข้าถึง เข้าใจ แจ้งใจได้ ดังต่อไปนี้..
Group Blog : บันทึกการปฏิบัติเพื่อละราคะเมถุน ปี ๒๕๖๑ สมัยที่ได้พบเจอพระอรหันต์
บันทึกกรรมฐาน วันที่ 1-1-61 เวลา 23:30 น. ถึง วันที่ 2-1-61 เวลา 2:45 น.
สรุปหัวใจหลักวิธีทำไว้ในใจในการเจริญปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา
หัวใจหลักใน ทาน ศีล ภาวนา ที่ทำที่ใจ ทำเจตนา ละเขจตนา
ให้ลงใจตามพระอริยะสาวก และ พระอรหันสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาโลก เจริญปฏิบัติกันก. ทาน ..ทำที่ใจ
ทำเหตุ ..ทำไว้ในใจเพื่อขจัดความโลภ ความตระหนี่ อภิชฌากลุ้มรุมในกายใจตน
ผลอานิสงส์ ..ถึงความอิ่มใจไม่คิดใคร่ ไม่กระสันอยาก ไม่แสวงหาอีก อิ่มใจไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในในโลก
(น้อมใจไปถึงความอิ่มเอมเป็นสุขใจนั้น)
- เหตุ คือ รู้เห็นตามจริงใน..กรรม โลกธรรม ๘ ศรัทธา ๔ เข้าถึงความความสุขจากการให้ มีใจน้อมไปในความสละ เจตนาออกจากอภิชฌา
- สะสมเหตุละกิเลส คือ โลภะ ความตระหนี่ ความโลภ อยากได้ หวงแหนสิ่งที่ปรนเปรอบำเรอตน
- เห็นแจ้งชัดใน โลกธรรม ๘ ความไม่เที่ยง โลภะ กาม นันทิ ราคะมันหลอกให้เราเอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งในโลก แสวงหา ต้องการ กระสันอยาก จนมีเท่าไหร่ เสพย์มากแค่ไหนก็อิ่มไม่เป็น ..เมื่อจิตสูงเหนือโลภไม่เอาใจเข้ายึดครองสิ่งไรๆในโลก จิตก็รู้จักพอแผ่ขยายไปด้วยน้อมไปในการสละจิตจึงอิ่มเป็น ทุกสิ่งทุกอย่าง คน สัตว์ สิ่งของที่รักที่หวงแหนอยู่ได้นานสุดแค่หมดลมหายใจเรานี้เท่านั้น มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่ติดตามไปทุกภพชาติ ให้ผล เป็นแดนเกิด เป็นที่ติดตามอาศัย เราเป็นทายาทกรรม
- มีใจน้อมไปใน ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลอยากให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์สุขจากสิ่งที่ตนสละให้ มีใจอยากให้ผู้อื่นได้รับหรือมีโอกาสดีๆได้รับสิ่งดีๆเป็นประโยชน์สุขเหมือนเขาบ้างเสมอด้วยตน
- มีใจสละขาดจากความเ)้นเจ้าของ ไม่เอาใจเข้ายึดครองไว้กับสิ่งที่ตนให้
- มีอานิสงส์ คือ ความอิ่มใจ อิ่มเต็มอัดแน่นในใจตัดขาดจากความติดใคร่ได้กระสันต้องการ
ข. ศีล ..ทำที่ใจ
ทำเหตุ ..ทำไว้ในใจเพื่อขจัดโทสะ ริษยา อภิชฌา โทมนัส ความเร่าร้อน ร้อนรุ่ม ขัดข้อง ข้องแวะ อัดอั้น คับแค้น โศรกเศร้า เสียใจ ร่ำไร รำพันกลุ้มรุมในกายในใจตน
ผลอานิสงส์ ..ถึงความเย็นใจ เป็นที่สบายกายใจ มีจิตแจ่ม ใสเบิกบาน สงบสุขเป็นที่สบายดบาใจแผ่ซ่านไป ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลก
(น้อมใจไปถึงความเย็นเบาใจ สงบสุขเป็นที่สบายกายใจนั้น)
- เหตุ คือ รู้เห็นตามจริงใน..กรรม โลกธรรม๘ มีหิริพละ มีโอตัปปะพละ ศรัทธา ๔ ความเห็นเสมอด้วยตน เข้าถึงโทษและทุกข์ในการไม่มีศีล เจตนาออกจากอภิชฌา-โทมนัส
- สะสมเหตุละกิเลศ คือ โทสะ และความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
- เห็นแจ้งชัดใน ความเร่าร้อนร้อนรุ่มกลุ้มรุมกายใจจากการไม่มีศีล กรรม วิบากกรรม รู้แยกแยะดี ชั่ว บาป บุญ คุณ โทษ เรามีกรรมเป็นผู้ให้ผล เป็นแดนเกิด เป็นที่ติดตามอาศัย เราเป็นทายาทกรรมทุกภพทุกชาติไป
- มีใจน้อมไปใน ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นเสมอด้วยตน ด้วยอาการของจิตที่มีความแจ่มใสเบิกบานปราศจากทุกข์และความเร่าร้อนทั้งหลายแผ่ขยายไปนั้น
- มีอานิสงส์ คือ ความเย็นใจ อวิปติสสาร ปราโมทย์ เบิกบานใจ
ค. ภาวนา ..ทำที่ใจ
ทำเหตุ ..ทำไว้ในใจเพื่อให้จิตได้พักเท่านั้น ข้อนี้เป็นหัวใจหลักในการภาวนา.. จิตจะได้มีกำลังขจัดโมหะ ความโง่ ลุ่มหลง ติดใจข้องแวะโลก ความหลงไม่รู้เอาใจเข้ายึดครองโลกที่กลุ่มรุมกายใจตน
ผลอานิสงส์ ..ถึงความที่จิตผ่องใส สว่างไสว รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ ตื่นจากสมมติ เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอม ตามสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดา
(ทำไว้ในใจถึงการภาวนาว่า..เพื่อต้องการให้จิตได้พัก น้อมใจรวมจิตไว้ในภายในที่เดียว เอาจิตจับที่จิต ทำความสงบ นิ่ง ว่าง ไม่คิด ไม่จับเอาสิ่งใด)
- เหตุ คือ รู้เห็นตามจริงต่างหากจากสมมติ เห็นทุกข์ ตัวทุกข์ เหตุแห้่งทุกข์ ตื่นจากสมมติ ละเหตุแห่งทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ วัฏฏะ ไม่สิ้นสุด เกิดนิพพิทาญาณ เจตยาทำให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ถึงความเบิกบาน
- สะสมเหตุละกิเลส คือ โมหะ ความโง่ลุ่มหลงไม่รู้ตัว ไม่รู้จริง เพื่อให้จิตฉลาดในธรรม ฉลาดในการปล่อยวาง ฉลาดในการเลือกเฟ้นธรรม จิตสามารถเลือกธัมมารมณ์ที่ควรเสพย์ได้ เสริมปัญญาความฉลาดให้จิต
- มนสิการไปให้จิตตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียวไม่สัดส่าย สงบ นิ่ง ว่าง วูบรวมลงแช่ไว้ในภายในให้จิตได้พัก "ความสงบ นิ่ง ว่าง แช่มีอารมณ์เดียวนี้เป็นอาหารของจิต" เป็นการเสริมเติมกำลังให้จิต ให้จิตมีกำลังอยู่ได้ด้วยตนเองไม่ไหลพล่านยึดจับเกาะเกี่ยวเอาอารมณ์ไรๆมาตั้งเป็นเครื่องอยู่ของจิต จิตทำสักแต่ว่ารู้ได้
- มูลกรรมฐาน ทำไว้ในใจภึงพระพุทธเจ้าพระบรมศาสดา โดยระลึกบริกรรมในพุทโธคู่ลมหายใจเข้าออกก็ได้ (พระอรหันตสาวกทุกรูปท่านสอนไว้ว่า..คนที่ระลึกบริกรรมพุทโธไม่ได้..ก็แสดงว่าไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า คนที่ระลึกธัมโมไม่ได้..ก็แสดงว่าไม่มีศรัทธาในพระธรรม คนที่ระลึกสังโฆไม่ได้..ก็ไม่มีศรัทธาในพระสงฆ์) ระลึกถึงความรู้เห็นตามจริงต่างหากจากสมมติ จิตตั้งอยู่เฉพาะหน้า รู้ปัจจุบัน ตื่นจากสมมติไม่ติดหลงสมมติความคิด สมมติสัจ สมมติบัญญัติ ตื่น หลุดพ้นแล้ว ถึงความว่าง,ความสงบ,ความไม่มี,ความสละคืน มีจิตเบาสบายเบิกบบานใจเป็นสุขหาประมาณมิได้ ไม่มีสิ่งใดในโลกให้ข้องแวะข้องเกี่ยวได้อีก
- มีอานิสงส์ คือ ทำให้เรามีจิตผ่องใส มีใจเบิกบาน เป็นสุข มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ละเจตนาในอกุศล ไม่มีความคิดชั่ว ไม่มีความคิดอกุศล มีเจตนาละเว้นจากความเบียดเบียน จิตฉลาดในการเลือกเฟ้นเสพย์ธรรม ฉลาดในการปล่อยวาง ไม่เอาใจเข้ายึดครองสังขารทั้งปวง อิ่ม พอ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งของสมาธิจะเกิดปัญญามากมายที่เราไม่เคยรู้เห็นจะพรั่งพรูขึ้นมาให้วิเคราะห์พิจารณาเลือกเฟ้นใช้งานในการดำรงชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมโดยชอบ เมื่อพ้นจุดนี้ไปอีกจึงจะเกิดปัญญาธรรมอันจิตแจ้งชัดของจริงต่างหากจากสมมติ ถึงนิพพิทาถอนใจไม่ยึดครอง เกิดวิราคะตัดสิ้นกิเลสของปลอม ถึงความสละคืน ไม่มีสิ่งใดๆในโลกหน่วงยึดเกียวใจไว้ได้อีก
การเข้าสมาธิง่ายๆ 3 วิธี
วิธีที่ 1 น้อมใจไปรวมจิตลงเพียงเพื่อให้จิตได้พัก (วิธีนี้กล่าวคราวๆแล้วในเบื้องต้น ตามด้านบน)
วิธีที่ 2 เพ่งนิมิต หรือ คำบริกรรมเหล่าใดให้สติจดจ่อในอารีมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้นาน ทำให้จิตจดจ่อเป็นอารมณ์เดียวตาม (วิธีนี้มีสอนเยอะตามกรรมฐาน 40 เช่น พุทโธ อานาปานสติ กสิน ๑๐ จึงไม่ขอกล่าว)
วิธีที่ 3 มนสืการ สัญญา จิตจับอารมณ์แนบแน่นไม่ขาดกัน แล้วยกจิตขึ้นด้วยลม..
1. มนสิการในอารมณ์เครื่องกุศล อนุสสติ ๖ เป็นต้น หรือ พรหมวิหาร ๔ เจโตวิมุตติเหล่าใด เป็นมูลฐานให้จิตตั้งมั่น
2. ไม่กำหนดนิมิต แต่กำหนดจิตจับไว้ที่อารมณ์ความรู้สึกเย็นใจเบิกบานที่มีอาการแผ่ไปจากการได้เจริญในธรรมเครื่องกุศลเหล่านั้นแนบแน่นไม่ขาดกัน ไม่กระเพื่อม ไม่คลอนแคลน ไม่สัดส่าย
3. เมื่อจิตนิ่งแนบอารมณ์ได้ หายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ ไม่ต้องหายใจแรงมาก ให้หายใจปรกติสบายๆ ไม่ให้ลมติดขัด
(จิตจะยกเข้าสมาธิตามกำลังของจิต มีการวูบรวมลงทีจุดเดียวเป็นสมาธิ ตั้งแต่ ขณิกสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถึงปฐมฌาณ เป็นต้น)
4. หายใจออกผ่อนเบาสบายๆคลาย ดับ สลัดอารมณ์ที่จิตจับแนบก่อนหน้านี้ออกไปเหาะ รับสภาพความรู้สึกอารมณ์ อาการที่เข้ารวมลงอยู่ในปัจจุบัน
(เวลาตายลมหายใจสุดท้ายนี้สำคัญเพราะเป็นตัวจับอารมร์สุดท้าย คนเข้าฌาณ หรือได้วสีจะเข้าใจจุดนี้ที่สุด)
ก. ทาน ละโลภได้ทาน ละตระหนี่ปรนเปรอตน เผื่อแผ่แบ่งปันสละให้ด้วยใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่กัน เราก็ได้ทานขยายความ
จิตเป็นทานก็เกิดความอิ่มใจ ใจมีกำลังอยู่เหนือโลภ- เข้าถึงจาคานุสสติความสละที่พร้อมมูลเกื้อกูลประโยชน์สุขทั้งปวงแก่สัตว์ทั้งหลาย เกิดความปิติ อิ่มใจเป็นสุข อิ่มเต็มอัดแน่นในใจไม่ต้องการสิ่งใดอีก- สุขตั้งอยู่ที่จิต จิตสุขเพราะสละ ถอนจากโลภ เพราะไม่เอาใจเข้ายึดครองสิ่งไรๆในโลกแม้ขันธ์ ๕ ที่ตนอาศัยอยู่จึงเป็นสุข จิตรู้ด้วยตัวเองว่า..สุขเพราะสละไม่ยึดครอง
- จิตมนสิการมีใจน้อมไปในอารมณ์ถอนขึ้นปิดสวิทซ์ตัดจากความมีใจเข้ายึดครอง คลายอุปาทานขันธ์ ๕ อิ่มในขันธ์ ๕ ไม่ยึด ไม่เอา ไม่ยังขันธ์ ๕ อยู่อีกด้วยประการดังนี้
ข. ศีล ละโกรธได้ศีล ทำที่เดียว คือ เจตนา ทำความละเว้นความเบียดเบียนทำร้ายต่อตนเองและผู้อื่น..ด้วยใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลประโยชน์สุข เย็นกาย สบายใจ ไม่เร่าร้อนต่อเผู้อื่นเสมอด้วยตนเอง คือ
1. ผู้อื่น เจตนาละเว้นจากความข้องแวะ ติดพัน อยากได้ หมายเอา คน สัตว์ สิ่งของ ขีวิต ของผู้อื่นมาครอบครองเป็นของตน ปรนเปรอตน
2. ตนเอง เจตนาละเว้นจากสิ่งที่ทำให้ตนระลึกไม่ได้ ฉุกคิดยับยั้งแยกแยะ ดี ชั่วไม่ได้ เจตนาละเว้นจากสิ่งที่ทำให้เราไม่รู้ตัว
ศีล ลงใจ เจตนาเป็นศีล เราก็เย็นใจเป็นที่สบายกายใจมีปรกติจิตที่ไม่เร่าร้อน อยู่ที่ได้ก็เบาใจ ไม่หวาดกลัว ระแวง เร่าร้อน หมกมุ่น ฟุ้งซ่าน ร้อนรุ่มกายใจ ใจก็มีกำลังอยู่เหนือโกรธ
- จิตไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลก จิตที่ไม่ยึด ละเว้นเจตนาเบียดเบียนขาดสิ้นความเร่าร้อน จิตว่างไม่ลังเลสงสัย เห็นธรรมที่เสมอด้วยตนทั่วกัน จิตวิญญาณที่ครองขันธ์อยู่ล้วนเสมอกัน จิตที่อารมณ์ที่เสมอกัน รู้ด้วยความสงบ ไม่กระเพื่อมกวัดแกว่ง นิ่ง ความปิติ สุข เกิดขึ้นในภายใน ตัดความคิดรู้ปัจจุบันเฉพาะหน้าจิตเบาผ่องใส มีอาการที่แผ่ขยายไป
- มีใจน้อมไปในความเสมอด้วยกัน จิตแผ่เอาความผ่องใสเบิกบาน เย็นใจ ปราศจากกิเลสเครื่องเร่าร้อน
- จิตตั้งมั่นแนบอยู่ในความเย็นใจ แจ่มใส เบิกบานนั้นด้วยมีอาการที่แผ่ขยายไปทั่ว ไม่จำกัด ไม่มีประมาณ ทุกขันธ์ ทุกรูป ทุกนาม ทุกดวงจิต
- จิตตั้งอยู่ที่ความว่างจากทุกข์ ว่างเบากายสบายใจไม่มีเครื่องเร่าร้อน แผ่ขยายความว่างอันปราศจากทุกข์ แผ่เอาความว่างอันผ่องใสไม่มีทุกข์นี้ไปไม่จำกัด ไม่มีประมาณ ทุกขันธ์ ทุกรูป ทุกนาม ทุกดวงจิต
- จิตตั้งอยู่ที่จิตความสว่างไสว รื่นรมย์ สำราญ เบิกบานไม่มีสิ้นสุด จิตจับที่จิต จิตรวมลงอยู่ที่ดวงจิตที่แนบไปด้วย อัดแผ่ขยายออกไปไม่มีประมาณด้วยความสำราญ เบิกบานในสุขอันสว่างไสวนั้นไป ไม่จำกัด ไม่มีประมาณ ทุกขันธ์ ทุกรูป ทุกนาม ทุกดวงจิต
- จิตตั้งอยู่ด้วยความไม่ยึดครองสิ่งใด ไม่เอาใจเข้ายึดครองสิ่งไม่ ไม่ยึดจับอะไรเลย ทุกอย่างมันเป็นไปของมันด้วยกรรมตามสัจจะของมันเอง ความว่าง ความไม่มี ความสละคืน
- ความมนสิการน้อมใจเข้าไปในภายในความน้อมเข้าดูจิตเดิมแท้ ขัดเกลา ล้างขันธ์
ค. ภาวนาอบรมจิต ละโง่ได้ภาวนา
- ทางโลก ศึกษาเรียนรู้ ปฏิบัติ ก็เข้าถึงความรู้ในหลายทาง คิดตอบโจทย์แก้ไม่ทันก็จำไว้สะสมเหตุเป็นปัญญาถึงแนวทางแก้ไขของรูปแบบปัญหานี้ๆในคราวต่อไป เข้าสมาธิให้จิตได้พัก จิตมีกำลัง จิตสงบไม่ฟุ้งซ่านคิด ไม่ติดคิด ทำให้จดจำง่าย สมองทำงานเป็นระบบมากขึ้นว่องไวเพราะไม่มีความคิดความจำขยะที่ปิดกั้นจำกัดช่องทางการทำงานของสมองและปัญญา จากนั้นความรู้ที่ไม่เคยนึกถึง ไม่เคยคิด ที่ลืมไปแล้ว ที่ไม่เคยคำนึงถึง ที่ไม่เคยรู้จัก ปัญญาที่วิเคราะห์เทียบเคียงพิจารณาโดยแยบคายเสร็จสรรพพร้อมมูลในเหตุ และ ผล ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดมีขึ้น มีจิตผ่องใส มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูล เว้นจากความเบียดเบียน จะพรั่งพรูขึ้นมามากมายไม่หยุด
- ทางธรรม เข้าสมาธิอบรมจิตทำให้จิตได้พัก ไม่สัดส่ายกระเพื่อมจิตก็มีกำลัง ผ่องใสเบิกบานไม่ไหวเอนไปตามอารมณ์เครื่องล่อใจ มีกำลังอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ติดคิด ไม่ฟุ้งซ่าน มีกำลังแยกแยะ มีจิตผ่องใส มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูล เว้นจากความเบียดเบียน เกิดปัญญาญาณรู้เห็นตามจริงโดยสัมมา จิตมีกำลังเต็มที่ทำหน้าที่เดิมได้ คือ จิตทำแค่รู้ แลดูของจริงได้โดยไม่เข้าร่วมปรุงแต่งเสพย์อารมณ์ เห็นสมมติแห่งกาย สมมติแห่งความรู้สึกอารมณ์ สมมติแห่งจิต รากเหง้าแห่งสมมติ สันดาร สันดร แจ้งโลก เห็นธรรม ตัด ถอน สละคืน
ภาวนาเพื่อละโง่ โอปนะยิโกได้ง่าย ทำสมาธิภาวนาเพื่อให้จิตได้พัก อบรมจิตให้ฉลาดเไม่ติดหลงสมมติอยู่อีก ละโง่ก็ได้ปัญญา จิตถึงปัญญาก็เป็นผู้รู้ทั่วพร้อม เกิดความรู้ได้เฉพาะตน ปัจจัตตัง
- จิตเข้าไปดูของจริง เห็นความเป็นไป การทำงานตามจริงของมัน ทำสักแต่ว่ารู้ ไม่ข้องแวะ ไม่ยึดที่เห็น แต่ทำความรู้ตามจริง
- จิตเห็นการทำงานครบพร้อมขันธ์ ๕ เห็นผัสสะกระทบให้จิตกระเพื่อม ความเป้นไปของมันเหมือนดูหนังจอยักษ์ที่เราอยู่ท่ามกลางในเหตุการณ์นั้นๆ
- จิตคลายปิดสวิทซ์ตัดสิ่งที่คล้องหน่วงจิตไว้อยู่ตลอดเวลาเพราะเห็นความไม่มี เหมือนฟ้าแลบแปลบ เหมือนประกายแสงที่กระทบกันแปล๊บหนึ่งซึ่งไวมาก อุปมาเป็นโซ่ที่ถูกปลดมีดตัดตะขอที่คล้องลากหน่วงตรึงเราออก เกิดประกายแสงกระทบกันแวบหนึ่ง ขาดสิ้น
- จิตสำรอกออก สละคืน จิตเบา ไม่หน่วงจิตอีก น้อมเข้ากำลังในทางโดยชอบ แนบแน่นในสัมมา ทาน ศีล ภาวนา สติสัมปะชัญญะ เห็นชอบ คิดชอบ พูดชอบ ทำชอบ ดำรงจิตชอบ ความแนบแน่นประครองในสัมมา ความระลึกได้ประครองตั้งมั่น จิตตั้งมั่นจดจ่อ จิตสักแต่ว่ารู้แยกจากขันธ์สังขารทั้งปวงเหล่าใด จิตดำรงมั่นแลดูอยู่รู้แค่ธรรมไม่สัดส่าย เหตุให้เกิดสืบต่อแห่งจิตสังขารไม่มี วิญญาณสังขารไม่สืบต่อ จิตสังขารดับ ปิติ สุข ว่าง จิตตั้งมั่น ตัด
การอบรมจิตเบื้องต้นง่ายๆแต่ผลนั้นยิ่งใหญ่นัก คือ..
1. สวดมนต์(ทำให้จิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ที่กำลังสวดน้อมใจไปตามคววามหมายของบทสวดมนต์นั้นๆ ไม่ส่งจิตออกนอกไปคิดอย่างอื่น)
2. สงบนิ่ง(ความสงบ ทำแค่ความสงบ จิตว่าง ไม่คิด ไม่ยึด ไม่จับ ไม่มี)
3. รู้ลมเข้า-ออก (ตามรู้ลมปักหลักปักตอไว้ปลายจมูกรู้ลมที่พัดเคลื่อนเข้า พัดเคลื่อนออก)
4. พุทโธ กำหนดบริกรรมตามลมด้วยคุณพระพุทธเจ้า คือ ผู้รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ ตื่นจากสมมติ เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอม ผู้รู้จริงคือรู้ในปัจจุบัน ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้ของจริง คือ ลมหายใจเป็นวาโยธาตุ เป็นกายสังขาร เป็นสิ่งที่สงเคราะห์ประกอบขึ้นให้เป็นกาย พยุงยังกายไว้อยู่ สมมิตก็คือความคิด ปรุงแต่ง จิตส่งออกนอกทั้งปวงเมื่อความคิดเกิดมีแสดงว่าสมมติเกิดทันที จิตรู้สิ่งใดด้วยความคิดสิ่งนั้นคือสมมติทั้งหมด ความคิดที่ไม่มีโทษมีคุณคือบริกรรมพุทโธ "ทำไปเรื่อยๆสบายๆจากนั้นจิตมันวูบดิ่งลง หรือ เหมือนวูบหลับลง หรือ วูบลงคล้ายจะกำลังหมดสติ ก็ให้ปล่อยมันไปไม่ต้องประครองมากไป ให้ทำแค่รู้แล้วปล่อยให้มันเป็นไปของมัน ..อาการนี้แค่จิตมันเข้าไปพัก" เมื่อจิตมันได้พักเสร็จมันจะมีกำลังดำเนินไปของมันเอง ทำแค่นี้เเข้าถึง เข้าเอกัคคตารมณ์ได้ หรือ เข้าภึงฌาณ 4 ได้
5. ส่วนเวลาทำงานดำเนินชีวิตไปตามปรกติ ก็ให้ทำสัมปะชัญญะ ทำความรู้ในปัจจุบันขณะ รู้กิจการงานที่ตนทำอยู่ในปัจจุบัน ยืน เดิน นั่ง นอน ทำงาน เขียนหนังสือ เขียนงาน ขี้ เยี่ยว ดื่ม กิน รู้กิจการงานในปัจจุบันที่ตนทำ ไม่ติดหลงสมมติความคิด
- นี่คือ ทาน ศีล ภาวนา สะสมเหตุอิทธิบาท ๔ ใน มรรค ๘ สุจริต ๓
นแนวทางหลักๆ ที่เเป็นหัวใจของการเจริญ ทาน ศีล ภาวนา และ ผลเลยนะนี่ หนังสือไม่มีสอนนะแบบนี้ ในกูเกิลก็ไม่มี
* เวลาทำให้เป็นที่สบายกายใจ ไม่กระสันในผล แต่ไม่หย่อนยานเหลาะแหละ ให้ทำเป็นประจำๆเนืองๆ ตั้งไว้ว่าวันนี้ๆจเราจะทำจากเวลานี้ ถึงเวลานี้ แล้วค่อยเพิ่มมากขั้นไป ที่แน่นนอนทุกวันพระให้ทำได้ตลอดวัน สะสมเหตุไป รู้ตัวว่าตนทำสะสมเหตุไป อย่ากระสันผล ให้พอใจที่ได้ทำสะสมเหตุเป็นพอ ทำใจให้สบายๆ
ความรู้เห็นทั้งหลายทั้งปวงของข้าพเจ้านี้ ได้มาจากการเจริญปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์สอน ไม่ขัดครู ไม่ลังเลสงสัย ตามคำสอนของหลวงปู่นิล มหันตปัญโญ(พระอุปัชฌาย์), หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฒโน (พระพุทธสารเถระ)(พระอุปัชฌาย์), พระครูมหานกแก้ว(หลวงน้า)(พระอุปัชฌาย์), หนังสือเทศนาคำสอนของหลวงปู่ฤๅษีฯ(พระราชพรหมญาณ), พระอาจารย์สนทยา ธัมมะวังโส(พระอุปัชฌาย์), หลวงพ่อเสถียร ถิระญาโร(พระอุปัชฌาย์), พระอาจารย์ณัฐพงษ์ และ (พระอุปัชฌาย์)ครูบาอาจารย์สายพระป่าอีกหลายท่านที่ได้สอนข้าพเจ้าโดยตรง หรือจากหนังสือคำสอนของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ พระอาจารย์ใหญ่ ทุกๆท่าน