อุบายบรรเทาความวิปโยค
พระสุพรหมยานเถร (ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก)
วัดพระพุทธบาทตากผ้า ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
ข้อมูลจาก http://www.konmeungbua.com/book_inte...por_takpa.html
..........................................................
นับเป็นบุญกุศลราศีอันดียิ่งของท่านทั้งหลายที่ได้ชื่อว่า ได้ปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่ท่านได้กระทำมาแล้วเป็นอันดี
จึงจัดได้ว่าเป็นความกตัญญูกตเวทิตาธรรม คือ เป็นธรรมเครื่องหมายของคนดี อันดับต่อไป จักได้แสดงถึงเรื่อง "ความตาย" ขอยกเอานึกเขปบทเบื้องต้นนั้นว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งมวล ย่อมต้องตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ! กาลเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไม่มีเวลาหยุด ย่อมนำชีวิตสัตว์ทั้งหลาย หมดไปสิ้นไปตามกาล มนุษย์เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีความชรา ความแก่เฒ่า ขับไล่ไปอย่างเงียบ ๆ ในที่สุด ก็ต้องแตกสลายย่อยยับ เข้าไปสู่อำนาจแห่งความตาย ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยง หรือต่อสู้แต่ประการใด ๆ แม้พระพุทธชินวรเจ้าของเราทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ประกอบด้วยความประเสริฐสุด คือ พระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ หาที่สุดมิได้ เมื่อถึงคราวแห่งจุดจบของชีวิต พระองค์ก็ต้องเข้าสู่พระปรินิพพานเหมือนกัน....
เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย ควรพิจารณาให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ความตายเป็นของธรรมดา เป็นธรรมชาติล้วน ๆ จึงไม่ควรเศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพันให้เสียกำลังใจ
เตรียมตนก่อนตาย
ญาติโยมทั้งหลาย เราควรนึกถึงตัวเราว่า จักต้องตายเหมือนกันอย่างนี้ ! ควรสังเวชและสลดใจ แล้วหันมาประกอบขวนขวายทำแต่คุณงามความดีแต่ต้นมือ....เมื่อมีผู้อื่นตายอย่างนี้ จึงเป็นโอกาสดี และเหมาะสมที่สุด ที่เราจักได้พิจารณา นึกคิดถึงตัวเรา แล้ว จงเตรียมตัวให้พร้อมก่อนหน้าความตายที่ยังไม่ทันถึง นะโยมทั้งหลาย อันนี้แหละเป็นทางที่ถูกต้องที่ดี มีความเข้าใจ เมื่อถึงคราว จะได้มีความอดกลั้น บรรเทาความวิปโยคโศกเศร้าไปได้
พวกเราทั้งหลาย ทั้งชายและหญิง และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม เคยได้ยินได้ฟังธรรมะของสัตบุรุษผู้ดีมามากซ้ำยังได้อบรมบ่มนิสัยมาดี จงมีจิตใจตั้งมั่น ทำจิตใจว่าง เสียจากความยึดถือว่า...ตัวกู ของกู โดยเฉพาะ ท่านก็ได้เจริญภาวนากรรมฐาน จงนึกถึงความตาย ด้วยจิตใจซาบซึ้ง ติดเป็นนิสัยเสียเถิด จึงจะได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่มีสติปัญญา พิจารณาจนมองเห็นความเป็นจริง จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจร้องไห้ด้วยประการใด ๆ ฉะนั้น ควรที่ญาติโยมทั้งหลาย จงถือเอาเป็นคติสอนจิตใจตนเอง เราชาวพุทธ ควรพิจารณาให้รอบคอบ จะทำอะไร ขอให้มีสติ มีปัญญา ควบคู่กันไป
อาตมาได้แสดงพระธรรมเทศนา อันเป็นเหตุแห่งความตายมาพอสมควรแก่เวลา เอวํ.....ก็มีด้วยประการฉะนี้
ใจของเรามันเคยอยู่ในกรงนอกจากนี้แล้ว ในกรงเดียวกัน มันยังมียักษ์มาร คอยอาละวาดอยู่ทุกเวลา (กิเลส) ฉะนั้น เราต้องฝึกจิตฝึกใจของเรา ที่อยู่ในกรงนั้น จนแก่กล้า....ไม่หวาดหวั่นกับยักษ์มารอีกต่อไป....
นึก ๆ ดู ก็เหมือนนักโทษตลอดชีวิต ที่ได้แอบหนีออกจากคุกตะรางซึ่งถูกกักขังมาตั้งหลายสิบปี นี่นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่เราจะได้ปฏิบัติดำเนินตามรอยบุคลบาทของพระพุทธองค์ ทันใดนั้น จิตใจก็เต็มตื้นไปด้วยปีติ เกิดขึ้นท่วมท้นหัวใจ
+++++ ต่อหน้า 2 +++++