วัดจิตของตน
พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
เรามาประชุมนี้ ประชุมทั้งในทั้งนอก เข้าถึงวัดแล้วให้พากันวัดดูจิตของเรา มันอยู่ในวัดหรือนอกวัด วัดเพื่อเหตุใด นี่หละ เราอาศัยพุทธศาสนา ศาสนานี้เป็นเครื่องแก้ทุกข์และดับทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศาสนาในพุทธบริษัททั้ง ๔ นี่หละ ไม่ได้บัญญัติในที่อื่นบริษัททั้ง ๔ คืออะไร ภิกษุ ภิกษุณี แต่เวลานี้ภิกษุณีไม่มีแล้ว มีแต่ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา สี่เหล่านี่หละศาสนาจะเจริญได้ก็อาศัยเหล่านี้ ศาสนาจะเสื่อมก็อาศัยเหล่านี้ เสื่อมเพราะเหตุใด เราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติเนื่องในคุณพระพุทธเจ้า เราไม่มีความเคารพ ในคุณพระธรรมก็ไม่เคารพ ในคุณพระอริยสงฆ์ก็ไม่เคารพ ในทานก็ไม่มีความเคารพ ในศีลก็ไม่มีความเคารพ ในภาวนาก็ไม่มีความเคารพ ในปฏิสันถาร การต้อนรับซึ่งกันและกันก็ไม่มีความเคารพ เมื่อเราไม่มีความเคารพในเจ็ดสถานนี้จึงเป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อม ถ้าพวกเรายังมีความเคารพในเจ็ดสถานนี้แล้ว ศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป ท่านบัญญัติศาสนาในพระไตรปิฎกในพระอภิธรรมท่านไม่ได้บัญญัติอื่น เราทั้งหลายว่าบางคนก็ไม่ได้เรียนบัญญัติ ให้รู้จักบัญญัติ
ท่านบัญญัติธรรมวินัย ท่านว่า ฉ ปัญญัตติโย ขันธปัญญัตติ อายตนะปัญญัตติ ธาตุปัญญัตติ อินทริยปัญญัตติ บุคคลปัญญัตติ นี่ท่านบัญญัติศาสนาไว้อย่างนี้ นี่ท่านวางไว้ให้พากันถึงรู้ถึงเข้าใจ ขันธบัญญัติ คือท่านบัญญัติในเบญจขันธ์ เคยอธิบายไปแล้ว คือบัญญัติในรูป บัญญัติในเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ เราก็น้อมดูซิ รูปอยู่ไหนเล่า คือนั่งอยู่นี่หละ เรียกว่ารูปขันธ์ ที่บัญญัติตรงขันธ์เพื่อเหตุใด เพื่อให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ เป็นอยู่อย่างไร มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ มันดีหรือมันชั่ว เวทนาขันธ์เล่า ทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนาเราก็ลองดูซิ ตรงนี้แหละท่านบัญญัติ สัญญาขันธ์ความสำคัญมั่นหมาย ความจำโน่นจำนี่ ท่านบัญญัติไว้ตรงนี้ สังขารขันธ์ ความปรุงความแต่ง ดูซี่ เวลานี้เราปรุงเป็นกุศลหรืออกุศล ให้พึงรู้ พึงเห็น ไม่ใช่ว่าฟ้าอากาศปรุงเป็นกุศลอกุศลเราจะรู้ยังไงเล่า รวมเป็นสั้น ๆ แล้วคือ ใจเราดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจ นี่เรียกว่ากุศลธรรม นำความสุขความสบายเย็นอกเย็นใจ นี่เรียกว่ากุศลธรรม นำความสุขความเจริญมาให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้า อกุศลธรรม จิตไม่ดี จิตทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน ธรรมนี้นำสัตว์ทั้งหลายตกทุกข์ได้ยาก ให้ฉิบหายในปัจจุบันและเบื้องหน้า นี่เป็นอย่างนี้ วิญญาณขันธ์เล่า วิญญาณนี้เป็นผู้รู้ และจะได้ไปปฏิสนธิในสิ่งที่เราได้ปรุงแต่งไว้นี่หละ กรรมเหล่านี้นำไปตกแต่ง ไม่มีใครตกแต่งให้เรา ธรรมนำมาเอง
ธรรมมันอยู่ตรงนี้ จะเรียนธรรมจะรู้ธรรมให้มาดูตรงนี้ มาดูรูป ดูเวทนา ดูสัญญา ดูสังขาร ดูวิญญาณนี้ ให้พิจารณารูปนั้นละ เพราะเหตุใด ท่านว่ามันหลงรูป รูปนี้มีอะไรจึงพากันหลงหนักหนา พระพุทธเจ้าจึงได้วางไว้ให้พิจารณารูปนี้หละ อายตนปัญญัตติ นั่นเป็นบ่อเกิดแห่งดีและชั่ว อายตนะภายใน ภายนอก อายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา ภายนอกได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สิ่งเหล่านี้ ก็อยู่ในรูปนี่หละ ธาตุปัญญัตติ บัญญัติธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟมาประชุมกันเข้า เรียกว่าตัวตน สัตว์บุคคลเราเขาเมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องมาพิจารณาในรูปนี้ ตั้งสติเพ่งดูรูปอันนี้ ดูเพราะเหตุใด เพื่อไม่ให้หลง เมื่อเราเห็นแล้วไม่หลงรูปอันนี้จึงว่า รู้จัก นะ รู้จัก โม หัวใจตัวเรามันจึงรักษาได้ แต่เวลานี้เราไม่รู้จัก นะ รู้จัก โม
นะโม คือความน้อมนึก นะ คือความน้อม เราน้อมอะไร อันนั้นคือ ดินและน้ำ อธิบายเรื่อง นะ แล้วมันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา วานนี้ (ดูอาจาโรวาท ๑๓) ไม่ได้อธิบาย นะ อธิบายแต่ โม คืออะไร
นะ นั่น นะ แปลว่าไม่ใช่ ปิตตัง น้ำดี ดูซี่ น้ำดีอยู่ที่ไหนล่ะ มันเป็นคนหรือเป็นผู้หญิงผู้ชาย เรียกว่า น้ำดี เสมหัง น้ำเสลดเล่า นี่เป็นคนหรือเป็นอะไร อยู่ที่ไหนล่ะ ปุพโพ น้ำเหลือง นี่เป็นบุคคลหรืออะไร โลหิตัง น้ำเลือด เลือดล่ะมันเป็นคนหรือเป็นอะไร มันเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายเสโท น้าเหงื่อนี่ล่ะ เมโท น้ำมันข้น อัสสุ น้ำตา วสา น้ำมันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆานิกา น้ำมูก ลสิกา น้ำไขข้อ มุตตัง น้ำมูตร สิ่งเหล่านี้เป็นคนหรืออะไร เป็นของเอาหรือของทิ้ง นี่หละจึงเรียกว่า นะ แปลว่าไม่ใช่คน เป็นขอทิ้งทั้งหมด หรือใคร เก็บไว้ สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหนล่ะ นี่หละ ให้พากันพิจารณา มันจึงจะละซึ่งกามารมณ์ได้ รูปารมณ์ได้ ถ้าเรามาเห็นอย่างนี้แล้ว ให้พากันเพ่งเล็งดู สิ่งเหล่านี้ให้มันรู้มันเห็น หมดสงสัย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่ตัวของเรา เรามาถืออันนี้หละมาเป็นตัวเป็นตน
เมื่อได้อธิบายให้ฟังอย่างนี้แล้ว ให้เข้านั่งเพ่งดู เอาเข้าที่นั่ง เพ่งดูให้มันรู้มันเห็น อธิบายให้ฟังแล้ว ท่านเทศน์มามากแล้ว สมเด็จฯ ท่านก็เทศน์อยู่วันยังค่ำคืนยังรุ่ง อาตมาน่ะเป็นคนป่า เทศน์ไม่ดี ไม่ได้เรียนมาก เรื่องบัญญัติเหล่านี้ เอ้า ลงมือทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่เห็น เอ้านั่งให้สบ๊ายสบายนี่หละ ให้รู้จักชั้นศาสนา แก่นศาสนา ท่านบัญญัติไว้ตรงนี้ ท่านไม่ได้บัญญัติที่อื่น
ที่เราท่านทั้งหลายได้มาที่นี้ในวันนี้ก็คือสมเด็จฯ ท่านห่วงประเทศชาติของเรา ท่านก็แผ่กุศลถวายมหาบพิตร พวกเราทั้งหลายก็ต้องการให้ประเทศของเราอยู่เย็นเป็นสุข ให้ประเทศของเรายั่งยืนถาวรและความเจริญในปัจจุบัน และ เบื้องหน้า
นี่เราต้องเพ่งดูซี่ ประเทศชาติก็เกิดจากตัวของพวกเรานี้ ศาสนาจะเสื่อมเป็นยังไง ศาสนาเจริญเป็นยังไง ศาสนาจะเจริญได้คือเรามาทำกันยังงี้หละ เข้าถึงคุณพระพุทธ เข้าถึงคุณพระธรรม เข้าถึงคุณพระสงฆ์ เข้าถึงคุณพระพุทธเจ้า คือเข้าถึงพุทธะ คือความรู้นี้หละ เราวางกายให้สบายแล้ว เราระลึกถึงความรู้ของเรา ถ้าเราไม่รู้จักที่อยู่พุทธะ คือความรู้ ก็ดูว่ามันรู้ตรงไหนล่ะ
ในเบื้องต้นให้นึกถึงคำบริกรรมเสียก่อน ผู้ที่เคยแล้วก็ดี ผู้ที่ยังไม่เคยก็ดี ให้ระลึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ พระธรรมอยู่ในใจ พระอริยสงฆ์สาวกอยู่ในใจ เชื่อมั่นอย่างนั้นแล้วจึงระลึกคำบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้ว รวมเอาแต่พุทโธ พุทโธ คำเดียว หลับตางับปากเสีย ลิ้นก็ไม่กระดุกกระดิก ให้ระลึกอยู่ในใจรู้ว่า พุทโธ ความรู้สึกอยู่ตรงไหน แล้วตั้งสติไว้ตรงนั้นตาเราก็เพ่งดูตรงนั้น หูก็ลงไปฟังที่รู้สึกอยู่นั้น
+++++ ต่อหน้า 2 +++++