กาลามสูตร ๑๐ ข้อ
โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
โทร (๐๘๒) ๒๔๕๔๘๘
เรื่องกาลามสูตรนี้ พระพุทธเจ้าได้สอนชาวกาลามชนเอาไว้ ถ้าได้พิจารณาในเหตุผลแล้วนำมาเป็นข้อปฏิบัติได้เป็นอย่างดี เพราะ พวกกาลามชนนั้นเชื่ออะไรไม่มีเหตุผล เคยเชื่ออะไรกันมาแต่โบราณก็พากันเชื่อถือมาอย่างนั้น ไม่ยอมแก้ไขปรับปรุง ด้วยเหตุผลแต่อย่างใด โบราณทำกันอย่างไร ก็พากันทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงเตือนสติ ให้ข้อคิดด้วยเหตุผลแก่คนเหล่านั้น ดังนี้
๑. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่าได้ฟังตาม ๆ กันมา ได้ยินได้ฟังในสิ่งไหนเรื่องอะไร ต้องเอาเรื่องนั้นมาคิดพิจารณาด้วยปัญญา หาเหตุผล มาเป็นองค์ประกอบ ว่าสิ่งใดเรื่องอะไรที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วมีเหตุผลพอเชื่อถือได้หรือไม่ได้ ให้ใช้หลักความจริงมาเป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด ใช้ปัญญาวิจัยวิเคราะห์ให้ดี สิ่งใดมีเหตุผลพอเชื่อถือได้จึงเชื่อ สิ่งใดไม่เป็นไปในเหตุผลอย่าไปเชื่อในสิ่งนั้น ๆ ต้องใช้ปัญญา พิจารณาทบทวนหลายครั้งหลายหน จนเกิดความมั่นใจว่าเรื่องนั้นควรเชื่อถือได้ เรื่องนี้ไม่ควรเชื่อถือ จึงตัดสินใจเชื่อ หรือไม่เชื่อในภายหลัง ในสมัยครั้งพุทธกาล ความเชื่อถือมีหลายรูปแบบ เพราะได้ยินได้ฟังคนยุคก่อน ๆ เล่าเอาไว้ คนยุคใหม่ก็เล่าต่อ ๆ สืบกันมา ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นเล่าต่อกันมากี่ชั่วคน เหตุผลพอเชื่อถือได้หรือไม่ได้ ไม่มีใครนำมาคิดพิจารณาแต่อย่างใด ความเชื่อถือนี้มีมายาวนาน เมื่อพุทธศาสนาได้เกิดขึ้นมาในโลกแล้วก็ตาม ความเชื่อที่เก่าแก่ก็เล่าขานสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน เช่น เรื่องราหูอมจันทร์ ถ้ามนุษย์ไม่ให้ความช่วยเหลือ โลกมนุษย์จะเกิดภัยพิบัติล่มจมหายนะไป มนุษย์จึงได้ตีฆ้อง ตีกลอง ยิงปืน หรือทำอะไรให้เกิดเป็นเสียง ให้ราหูเกิดความตกใจกลัว แล้วดวงจันทร์ออกหนีไป และมีเรื่องอื่น ๆ อีกมายมายไม่จำเป็นจะนำมาเขียนในที่นี้ มันจะเป็นหนังสือเล่มใหญ่เกินไป
ความเชื่อถือนี้ แต่ละยุคก็มีความแตกต่างกันออกไป ในยุคสมัยใด จะมีผู้สมองใส กุเรื่องขึ้นมาหาเหตุผล มาประกอบกันกับเรื่องที่สร้างขึ้น โน้มน้าวให้คนหัวอ่อนเกิดความเชื่อถือได้ เช่น เรื่องบูชาไฟ บูชายัญ ฆ่าสัตว์เอาเลือดบูชาแม่กาลี เพื่อเป็นมงคลอย่างนั้นอย่างนี้ หรือกลุ่มนักพรต ก็เชื่อว่าการแก้ผ้าเปลือยกายจะละกิเลสได้ นอนบนขวากหนาม นอนย่างไฟให้กิเลสได้แห้งไป และมีวิธีอื่น ๆ อีกมากมาย ที่นักพรตเหล่านั้นเชื่อว่า จะละกิเลสได้ นั้นเป็นเรื่องที่นอกพุทธศาสนา แต่ให้เราได้สังเกตความเชื่อถือของชาวพุทธที่กำลังภาวนาหาวิธีที่จะละอาสวกิเลสในยุคนี้ดูบ้าง คนส่วนใหญ่ของชาวพุทธ มีความเชื่อว่า การภาวนาทำสมาธิให้จิตมีความสงบแล้ว จะเกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิดแล้ว ก็จะไปละกิเลสตัณหา ให้หมดไปจากใจเอง เมื่อกิเลสตัณหาถูกปัญญาได้ละไปหมดแล้ว ก็จะเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติ จะมีความเข้าในในลักษณะนี้ เหมือนกับว่า คำบริกรรมทำให้จิตมีความสงบได้แล้วจะเป็นไสยศาสตร์ สามารถที่จะให้เกิดปัญญาขึ้นมาได้ และเข้าใจว่าจะเป็นเหมือนคาถาอาคมเวทมนตร์ มีความหวังว่าจะเกิดอิทธิฤทธิ์อภินิหารกำจัดกิเลสตัณหาให้หมดไป ทั้งที่ตัวเองยังงี่เง่าเต่าตุ่น ไม่รู้จักในสัจธรรมแต่อย่างใด ความเชื่อถือที่สืบต่อกันมาอย่างนี้ ก็จะเหมือนกันกับพวกกาลามชนเหล่านั้น ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้เตือนสติว่า
อย่าไปเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น จะเชื่อถือในสิ่งใดต้องใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งนั้น ๆ ด้วยเหตุและผลให้เป็น ศรัทธาญาณสัมปยุต จะเชื่อในสิ่งใด ต้องใช้ปัญญาวิจัยวิจารณ์ให้แยบคาย ให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นจริงในสิ่งนั้น ๆ มิใช่ว่าจะเชื่อสักว่าฟังตาม ๆ กันมาว่า ภาวนาอย่างนี้จะถูกต้อง ไปเสียทั้งหมด ให้ศึกษาประวัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัทในสมัยครั้งพุทธกาลให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้น จะเป็นผู้เชื่ออะไรที่งมงายต่อไปโดยไม่รู้ตัว จะเหมือนกับพวกกาลามชนเหล่านั้น
๒. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ของเก่าที่ทำตาม ๆ สืบต่อกันมา นี้ก็เช่นกัน ประเพณีนิยมที่พวกเราทั้งหลายได้ทำกันอยู่ในปัจจุบัน ก็พากันถือว่า เป็นเรื่องเก่าแก่ทำกันมาแต่โบราณ ถึงปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่ยังทำสืบทอดกันมาจนถึงพวกเรา และจะทำต่อ ๆ กันไปในอนาคตอีกยาวนาน ทำกันมาอย่างไร ก็พากันทำต่อไปอย่างนั้น เพราะ ถือว่าเป็นของเก่า ไม่มีใครที่จะกล้าแก้ไข ถ้าผู้ได้อ่านประวัติที่พระพุทธเจ้า ได้สอนพุทธบริษัท ในสมัยครั้งพุทธกาลที่มีผู้ปฏิบัติตามได้มรรคผลนิพพานผ่านไปแล้ว การปฏิบัติวิธีเก่า ตามที่พระพุทธเจ้าได้อบรมสั่งสอนพวกเราก็จะเกิดความปีติยินดี แต่กลับพากันไปชอบของเก่า ในวิธีปฏิบัติ ของพวกดาบสฤๅษี เมื่อปฏิบัติตามพวกฤๅษี แต่ต้องการบรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นวิธีปฏิบัติ ที่เป็นไปไม่ได้ แต่พวกเราก็คิดว่า จะเป็นไปได้ นี้คือไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผลมาเป็นเครื่องตัดสิน จึงไม่เข้าใจในของเก่า ที่พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ พระองค์ได้วาง หลักปัญญาเป็นจุดเริ่มต้น ในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย มีปัญญาความเห็นชอบ ที่ประกอบไปด้วยเหตุและผล มีปัญญา ดำริ พิจารณา แยกแยะวิจัยวิจารณ์ในหมวดธรรมต่าง ๆ ให้เข้าใจ เรียกว่า โยนิโสมนสิการ พิจารณาให้เกิดความแยบคาย หายสงสัยในสิ่งนั้น ๆ ให้ชัดเจน
การเชื่อถือในของเก่านั้น ต้องพิจารณาให้เข้าใจว่า ของเก่าอย่างไหนพอเชื่อถือได้ และเชื่อถือไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ให้เข้าใจในความเป็นจริง สิ่งนี้มีเหตุเป็นอย่างนี้และผลที่จะเกิดตามมาเป็นอย่างนี้ มองเหตุไปหาผลให้ตรงกันกับความเป็นจริง มิใช่ว่าจะทำเหตุอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดผลเป็นอีกอย่างหนึ่ง ใช้ไม่ได้เลย เช่น ทำสมาธิ จิตมีความสงบแล้วจะเกิดปัญญา เป็นต้น ที่จริงความสงบของสมาธิ จะมีผลไปในทางฌานสมาบัติ ที่เรียกว่า รูปฌาน อรูปฌาน เกิดเป็นอภินิหารต่าง ๆ หรือเกิดอภิญญา เช่น มีตาทิพย์ มีหูทิพย์ รู้วาระจิตของคนอื่นบ้าง มีฤทธิ์บ้าง รู้จักจิตวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว รู้จักภพชาติในอดีตว่าเคยเกิดเป็นอะไรมา นี้เป็นผลที่เกิดจากสมาธิ ความสงบ มิใช่ว่าจิตมีความสงบแล้วจะเกิดปัญญาดังที่เข้าใจ เหตุที่จะให้เกิดปัญญา มาจากการพิจารณา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เกิดความฉลาด รอบรู้ในหลักสัจธรรม ดังที่พูดกันอยู่เสมอว่า มีปัญญาตรัสรู้อริยสัจสี่แจ้งประจักษ์โดยลำพังด้วยพระองค์เอง คำว่ามีความสงบ ตรัสรู้ อริยสัจสี่ จะมีมาจากที่ไหน ฉะนั้น ความเชื่อถือในของเก่า ปฏิบัติตามของเก่า พวกเราได้ปฏิบัติถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือปฏิบัติตามของเก่า ของพวกฤๅษีกันแน่ จงใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจในเหตุผล ไม่เช่นนั้น จะเป็นมิจฉาปฏิบัติไปโดยไม่รู้ตัว
๓. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า กิตติศัพท์อันเป็นข่าวเล่าลือ นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่พวกเราทั้งหลายควรนำมาพิจารณา คำว่า ข่าวเล่าลือเป็นได้ทั้งจริงหรือไม่จริง พอเชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้ เช่น เล่าลือว่า พ.ศ. เท่านั้นโลกจะเกิดภัยพิบัติ โลกจะพินาศ น้ำจะท่วม หาที่อยู่ไม่ได้ สัตว์และหมู่มนุษย์จะล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก จะเกิดความอดอยากข้าวปลาอาหารไปทุกแห่งหนของโลก ข่าวเล่าลือนี้ จะเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในเหตุผลว่าข่าวอย่างนี้มีเหตุผลพอเชื่อถือได้หรือไม่ได้ มิใช่ว่าได้ยินข่าว เล่าลือมาอย่างไร จะเชื่อไปเสียทั้งหมด ต้องฝึกนิสัยตัวเองให้เป็นผู้หนักแน่น พิจารณาในเหตุผลก่อน ว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร จึงตัดสินใจเชื่อในภายหลัง หรือได้ทราบข่าวว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นที่ไหน ก็เชื่อว่าเป็นจริงอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นผู้หูเบาใจง่าย งมงาย เชื่ออะไรที่ขาดเหตุผล และข่าวเล่าลืออื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าจะมีอีกมาก มีทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดี ข่าวอะไรก็ตาม อย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อในทันที ต้องมีการพิสูจน์ให้รู้ความจริง จึงเชื่อในภายหลัง ต้องฝึกตัวเองให้มีเหตุผลด้วยสติปัญญาเฉพาะตัว มิใช่ว่าจะเอาคนอื่นเป็นผู้ชี้แนะบอกกล่าวให้เชื่อ ความเชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องมีเหตุผลเฉพาะตัว จึงเรียกว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
ความเชื่อถือในข่าวลืออีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องบุญกุศล เช่น ได้เห็นของแปลกในการปฏิบัติรูปแบบใหม่ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ปฏิบัติแล้วจะได้รับผลเป็นอย่างนั้นอย่านี้ ก็เล่าลือกันไป เฉพาะผู้มีความฝักใฝ่ในบุญกุศล ใจจะคล้อยไปตามข่าวเล่าลือได้ง่าย เพราะเป็นผู้มีความหิวกระหายในบุญกุศลอยู่แล้ว เมื่อได้ทราบข่าวเล่าลือว่าพระผู้มีคุณธรรมสูงมีอยู่ที่ไหน ก็พากันไปเพื่อกราบไหว้บูชา เพื่อให้เกิดเป็นบุญกุศล จะเป็นอรหันต์พระบ้าง อรหันต์เณรบ้าง ตลอดฆราวาสผู้มีความตั้งใจในการปฏิบัติอยู่ ข่าวลือในลักษณะอย่างนี้ ก็ยังไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าเรามีความเคารพเลื่อมใสศรัทธา ก็จะเกิดเป็นบุญกุศลแก่ตัวเราเอง ส่วนพระอรหันต์องค์จริงนั้น ก็เชื่อถือไปตามข่าวเล่าลืออีกเช่นกัน องค์ไหนที่เรามีความเคารพเลื่อมใสศรัทธา ก็ชอบยกขึ้นว่าองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ไป ในลักษณะอย่างนี้ก็เป็นองค์จริงบ้าง องค์ปลอมบ้าง องค์ไหนที่เราไม่มีความเคารพเลื่อมใสไม่เชื่อถือ ถึงองค์นั้นจะเป็นพระอรหันต์องค์จริง แต่เราก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง มิหนำซ้ำยังแสดงความประมาทก้าวร้าวให้แก่ท่านไปด้วย ฉะนั้น พวกเราได้รับข่าวเล่าลือมาอย่างไร ก็ให้ศึกษากรองข่าวนั้นให้ดี อย่าเป็นนิสัยเชื่ออะไรที่งมงาย ไม่เช่นนั้น จะเป็นเหมือนสัตว์ทั้งหลายตื่นข่าวไปตามกระต่ายตื่นตูม ให้ฝึกใจเหมือนกับราชสีห์ มีอะไรเกิดขึ้นต้องพิสูจน์ให้รู้เห็นความจริงในสิ่งนั้น ๆ
๔. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า อ้างมาจากตำราหรือคัมภีร์ นี้ก็เช่นกัน นิสัยของคนเราชอบอ้างถึงตำรา เหมือนกับว่า เรื่องไหนมีตำรา จะเข้าใจว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด หนังสือตำราว่าอย่างไรก็เชื่อกันไปอย่างนั้น ทั้งตำราในทางโลก และตำราในทางธรรม ตำรานั้นเขียนออกมาตามความรู้ของผู้เขียน เราเป็นผู้อ่านก็เพียงให้เป็นความรู้เท่านั้น เมื่อจะจำมาปฏิบัติ ก็เอาความรู้นั้นมาพิจารณา อีกครั้งหนึ่ง ว่าประโยคและความหมายในตำรานั้นมีเหตุผลพอเชื่อถือได้หรือไม่ ถ้าปฏิบัติไปตามตำราแล้วจะเกิดผลออกมาอย่างไร ต้องใช้วิจารณญาณ กลั่นกรองด้วยเหตุผลให้ละเอียด ว่าตำราไหนพอจะเชื่อถือได้ และเชื่อถือไม่ได้ ต้องวิจัยวิเคราะห์ใคร่ครวญ ตรึกตรองให้ดี เฉพาะทางธรรม มีผู้เขียนเป็นตำราออกมาให้คนอ่านมากมาย มีทั้งหนังสือเก่าและหนังสือใหม่เต็มไปหมด มีทั้งพระและฆราวาส ก็มีความสามารถเขียนหนังสือธรรมะได้เช่นกัน พร้อมทั้งหลักการและวิธีการในการปฏิบัติมีเหตุผลเหมือนกัน เมื่ออ่านแล้ว ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ก็น่าเชื่อถือได้ มีทั้งพระอริยเจ้าเขียนและปุถุชนเขียน หลายประโยค หลายความหมาย มีเหตุผลเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ส่วนมากผู้อ่าน จะให้ความเชื่อถือในตำราสมัยเก่า ถึงจะผิดในหลักความเป็นจริงก็เชื่อว่าเป็นความจริงอยู่นั่นเอง หนังสือนักปราชญ์ยุคใหม่ ถึงจะจริง ก็ยังไม่รับว่าจริง เพราะไม่ใช้เหตุผลในหลักความจริงมาเป็นหลักตัดสิน ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า อย่าได้เชื่อเพียงสักว่านี้อ้างมาจากตำรา หรือคัมภีร์ ทำไมเราไม่เอามาพิจารณาดูบ้าง ในความหมายนี้ พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้คนเชื่อด้วยเหตุผล ไม่ให้เชื่อโดยผูกขาด ว่านี้เป็น ตำราเก่า หรือตำราใหม่ ให้มีความมั่นใจในเหตุผลและความหมายในหลักความเป็นจริงเท่านั้น เช่น ตำราว่าทำสมาธิให้จิตมีความสงบแล้ว จะเกิดปัญญาขึ้น ในหลักความเป็นจริงในสมัยครั้งพุทธกาล พระองค์ทรงสอนอย่างนี้จริงหรือไม่ ถ้าได้อ่านประวัติของพระอริยเจ้าในสมัยพุทธกาล ว่าท่านเหล่านั้นบรรลุธรรมด้วยการปฏิบัติอย่างไร เริ่มต้นในการปฏิบัติอย่างไร เราจะเข้าใจได้ทันที พระอริยเจ้าในสมัยนั้น รวมทั้งพระ เณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ต่ำไปกว่าแสนองค์ขึ้นไป พระพุทธเจ้าไปแสดงโปรดสัตว์ที่ไหน ให้พุทธบริษัทปฏิบัติในลักษณะใด จึงได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าได้ ประวัติในพระสูตรมีมากมาย ทำไมไม่อ่านดูบ้าง ทุกสถานที่มีพุทธบริษัทมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงยกสัจธรรม อันเป็นความจริงขึ้นมาแสดง ให้พุทธบริษัท ใช้สติปัญญา พิจารณาให้รู้เห็น ตามหลักความเป็นจริง ทั้งนั้น ในหลักของมรรค ๘ พระองค์ก็ยกปัญญาขึ้นมาเป็นจุดเริ่มต้น นั้นคือ สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป การดำริพิจารณาด้วยปัญญา ให้ถูกต้องชอบธรรมตามหลักความเป็นจริง มิใช่หรือ ทำไมจึงไม่อ่านตำรา ดูประวัติความเป็นมา ในสมัยครั้งพุทธกาลบ้าง ว่าพระพุทธเจ้าสอนพุทธบริษัทให้ปฏิบัติกันมาอย่างไร เริ่มต้นจากปฐมสาวก เช่น ปัญจวัคคีย์ทั้งห้า พระยสกุลบุตรพร้อมด้วยหมู่คณะ ภัททวัคคีย์ที่ตามหาหญิงแพศยา ชฎิลสามพี่น้องพร้อมด้วยหมู่คณะ พร้อมด้วยพระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ และองค์อื่น ๆ อีกมากมาย หรือบริวารของพระเจ้าพิมพิสาร จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ คน ได้บรรลุธรรม ๑๑๐,๐๐๐ คน นอกนั้น ตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์ ประวัติผู้ได้บรรลุธรรมในครั้งพุทธกาลมีจำนวนมาก การปฏิบัติเริ่มต้นจากปัญญา ความเห็นชอบ ด้วยกันทั้งนั้น การทำสมาธิให้จิตมีความสงบ ข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ให้ทำ ใครจะมีคำบริกรรมอะไรก็ทำกันไป จิตจะมีความสงบ ในสมาธิในระดับไหนทำไป จะทำให้จิตมีความสงบอยู่นานกี่ชั่วโมงก็ทำไป จะได้เป็นกำลังใจหนุนปัญญาได้เป็นอย่างดี ที่ปฏิเสธนั้น คือสมาธิความสงบนั้น ไม่ทำให้เกิดปัญญาแต่อย่างใด แต่สมาธิทำให้ใจเกิดมีกำลังใจที่เกิดจากสมาธินี้ นำไปประกอบ ในอุบายเสริมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมเท่านั้น เพราะสมถะและวิปัสสนาเป็นของคู่กัน เป็นกำลังหนุน ซึ่งกันและกัน ใครจะใช้ปัญญามาก ทำสมาธิน้อย หรือใช้ปัญญาน้อย ทำสมาธิมากนั้น ให้เป็นไปตามนิสัยของแต่ละคน ผู้มีนิสัย ทางปัญญาวิมุต ิจะใช้ปัญญามากทำสมาธิน้อย ผู้มีนิสัยทางเจโตวิมุติจะใช้ปัญญาน้อยทำสมาธิมาก ถึงอย่างไร ก็เริ่มต้นจากปัญญา ความเห็นชอบอยู่นั่นเอง ลำพังทำให้จิตมีความสงบในสมาธิเพียงอย่างเดียว การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้าแต่อย่างใด จะวกไปเวียนมา เหมือนกับคนตาบอดพายเรืออยู่ในสระ ถึงจะมีประตูเปิดอยู่ก็จะไม่รู้เห็นทางออกแต่อย่างใด หรือเหมือนกับ ผู้มีเงินอยู่ในตัวแล้ว แต่ไม่มีร้านอาหารซื้อรับประทาน เงินจะเกิดเป็นอาหารให้เรารับประทานได้อย่างไร หรือเหมือนกับมีปากกาอยู่ในมือ แต่ไม่มีกระดาษ เป็นที่รองรับให้เขียน ตัวหนังสือก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถึงจะมีกระดาษรองรับให้เขียนอยู่ก็ตาม ถ้าเขียนหนังสือไม่เป็น ปากกาที่มีอยู่ก็สักว่ามีเท่านั้น นี้ฉันใด กำลังใจที่เกิดขึ้นจากสมาธิ ถ้าไม่มีปัญญาเป็นพื้นฐานรองรับเอาไว้ กำลังใจจะไปคิดพิจารณาด้วยปัญญาไม่ได้เลย มีแต่ความพอใจยินดีอยู่ในความสงบสุขของสมาธิต่อไปเท่านั้น ถ้าผู้มีความชำนาญในฌานสมาบัติก็เข้าอยู่ในฌานต่อไป นี้ก็เพราะไม่ได้ฝึกปัญญารองรับสมาธิเอาไว้ กำลังใจที่เกิดจากสมาธิ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย อีกไม่นาน กำลังใจที่เกิดจากสมาธิก็เสื่อมลง แล้วก็นึกคำบริกรรมทำสมาธิใหม่ ก็เป็นไปในรูปเก่าอีก จะมีการวกวนกันอยู่อย่างนี้ จะหาทางออกไม่ได้เลย ตำราที่ว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ มีความสงบดีแล้วจะเกิดปัญญาขึ้น ตำรานี้ผิดหรือถูก ให้ผู้ปฏิบัติได้พิจารณาดูก็แล้วกัน ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติอย่าผูกขาดอ้างตามตำราจนเกินไป ในความหมายของนักปราชญ์ ท่านว่า การปฏิบัติ อย่าเอาตามตำราและอย่าทิ้งตำรา ให้เราได้พิจารณาในเหตุผลนี้ก็แล้วกัน ถ้าตีความหมายนี้ได้ ผู้นั้นจะรู้วิธีในการปฏิบัติอย่างชัดเจนทีเดียว เช่น มรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ตรัสแล้วอย่างตายตัว พระพุทธเจ้าทรงมีพระญาณ รู้เห็นแนวทางปฏิบัติ ที่จะเข้าสู่กระแสแห่งมรรคผลนิพพาน ได้เป็นอย่างดี ผู้รับสนองพระธรรม ของพระพุทธเจ้ากลุ่มแรกคือปัญจวัคคีย์ทั้งห้าท่าน พระองค์ทรงอธิบายในวิธีปฏิบัติในมรรค ๘ อย่างละเอียดถี่ถ้วน วางรากฐานของ การปฏิบัติไว้แล้วเป็นอย่างดี พระองค์ก็มีวิธีเปลี่ยนความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด ให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรม พระองค์จึงได้วางหลักปัญญาไว้ในเบื้องต้น ที่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปโป นี้เป็นหลักของปัญญา เมื่อปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความเห็นชอบแล้ว พระองค์ก็ได้วางในวิธีรักษาศีล ที่ว่า สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี้คือหมวดของศีล ก็เอาปัญญาสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบนั้นแหละมารักษาศีล เรื่องการทำสมาธิ พระองค์ก็วางแนวทาง วิธีทำสมาธิไว้แล้วเป็นอย่างดี เช่น สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นอุบายวิธีทำสมาธิ พระองค์ก็ได้วางทิศทาง การปฏิบัติไว้แล้ว อย่างชัดเจน ก่อนทำสมาธิก็ใช้ปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ มาศึกษาในวิธีทำสมาธิให้เข้าใจ ถ้าจะเรียบเรียงตามคำสอน ของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักเดิม จะออกมาเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ
ในยุคนี้สมัยนี้ที่ทุกคนได้อ่านรู้ในตำราในคำว่า สิกขา ๓ และรู้กันทั่วไปว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ย่อมาจากมรรค ๘ หมวดเดียวกัน จะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้า เป็นผู้มีปัญญาน้อย ไม่สามารถล่วงรู้ได้ ขอให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายได้พิจารณาดูก็แล้วกัน ถ้าออกมาในหมวดการศึกษา ในภาคปริยัติก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะนำมาปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกัน ไม่เหมือนหลักเดิมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ฉะนั้น ตำราที่ศึกษาอยู่ก็ใช้ปัญญาศึกษาให้ดี มิใช่ว่าอ่านจำ เอาตามตำรา รู้ไปตามตำราเท่านั้น แม้แต่อุบายการปฏิบัติที่มีตำราสอนกันอยู่ในขณะนี้ก็ตาม ต้องศึกษาให้เข้าใจให้รู้จักที่ไปที่มาด้วยเหตุด้วยผล เพื่อไม่ให้เกิดความเห็นผิด ถ้าความเห็นผิดเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อไร การปฏิบัติอย่างไรและวิธีใด ก็จะกลายเป็นมิจฉาวายามะ มีความเพียรผิด ต่อไป จะกลายเป็นมิจฉาปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว งานทางโลกก็มีโอกาสแก้ไขให้ถูกได้ การทำผิด การพูดผิด ก็ยังมีเวลาให้แก้ตัว ส่วนการภาวนาปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องของใจโดยเฉพาะ ถ้าปฏิบัติผิดเล็กน้อยก็พอจะแก้ไขได้ ถ้าปฏิบัติมีความผิดพลาดไปมาก ก็ยากที่จะแก้ไข หรือแก้ไขไม่ได้เลย ฉะนั้น ก่อนจะลงมือปฏิบัติ ต้องศึกษาแนวทางปฏิบัติให้เข้าใจ หรือมีครูอาจารย์ ผู้ที่ท่านได้ผ่านการปฏิบัติ ที่ถูกต้องมาแล้ว ถ้าเป็นได้อย่างนี้ การปฏิบัติก็จะก้าวหน้าไปด้วยดี ไม่มีความลังเลสงสัยในอุบายวิธีการปฏิบัติแต่อย่างใด หากมีวาสนาบารมีพร้อมแล้ว ก็จะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ในสัจธรรมบรรลุเป็นพระอริยเจ้าในชาตินี้ได้เลย
+++++ ต่อหน้า 11 +++++