พระปิณโฑลภารทวาชเถระ

ชาติภูมิ

ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาล ภารทวาชโคตร ในกรุงราชคฤห์ มีชื่อตามโคตรว่า ภารทวาชมาณพ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนจบไตรเพทตามลัทธิของพราหมณ์ มีความชำนิชำนาญ ได้เป็นคณาจารย์บอกศิลปวิทยาแก่มาณพประมาณห้าร้อย ภารทวาชมาณพนั้นมีความโลภในอาหาร เที่ยวไปแสวงหาอาหารกับพวกมาณพผู้เป็นศิษย์ในที่ต่าง ๆ คือ ในที่ตนควรได้บ้างไม่ควรได้บ้างเหตุดังนั้น จึงมีนามปรากฏว่า “ปิณโฑลภารทวาชมาณพ” ครั้นเมื่อพระบรมศาสดาประกาศพระศาสนามาโดยลำดับจนบรรลุถึงพระนครราชคฤห์ ปิณโฑลภารทวาชมาณพได้ทราบข่าว จึงเข้าไปเฝ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความเลื่อมใส ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา



เอตทัคคะ

ครั้นพระปิณโฑลภารทวาชะได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท อุตสาหะเจริญสมณธรรมในวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ช้าไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล ท่านเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย อินทรีย์ ๓ ประการคือ สตินทรีย์, สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ ในวันที่ท่านได้บรรลุอรหัตผลนั้น ท่านถือเอาอาสนะเครื่องลาดไปสู่บริเวณวิหาร ปูลาดแล้ว เที่ยวบันลือออกซึ่งสีหนาทด้วยวาจาอันองอาจว่า “ยสฺส มคฺเค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ โส มํ ปุจฺฏตุ” แปลว่า ผู้ใดมีความสงสัยมรรคหรือผล ผู้นั้นจงถามเราเถิด ไม่ว่าจะไปในที่ไหน แม้ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดา ท่านก็บันลือสีหนาทเช่นนั้น อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้บันลือซึ่งสีหนาท ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะนั้น ดำรงเบญจขันธ์อยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธ์ปรินิพพานฯ




ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/piyainta/ab47.htm