พระวังคีสเถระ


ชาติภูมิ

ท่านพระวังคีสะ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนตามคัมภีร์ในลัทธิของพราหมณ์จนจบไตรเพท และได้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉวสีสมนต์ เป็นมนต์สำหรับพิสูจน์กะโหลกซากศพแม้ตายแล้วตั้งสามปี สามารถรู้ว่าไปเกิดเป็นอะไร ณ ที่ไหน และวังคีสพราหมณ์ได้อาศัยมนต์นั้นเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ คือ ในชั้นต้นได้แสดงศิลปะนั้น ให้ปรากฏโดยความจริงแก่พวกชนในพระนครนั้น พวกพราหมณ์ทั้งหลายได้เห็นแล้วคิดกันว่า พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้เลี้ยงชีพได้ จึงได้พาเที่ยวไปสู่ชนบทน้อยใหญ่ ประกาศแก่หมู่มนุษย์ทั้งหลายว่า วังคีสพราหมณ์นี้รู้มนต์วิเศษ คือ ร่ายมนต์แล้วเอาเล็บเคาะที่ศีรษะแห่งสัตว์ที่ตายแล้วย่อมรู้ได้ว่า ผู้นี้ไปบังเกิดในนรก ผู้นี้ไปบังเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ผู้นี้ไปเกิดในเปรตวิสัย ผู้นี้ไปเกิดในเทวโลกฯ พวกมนุษย์ทั้งหลายได้ยินประกาศดังนี้ ก็มีความประสงค์อยากจะถามถึงพวกญาติของตน ๆ บ้าง จึงให้ทรัพย์ตามกำลังของตนมากบ้างน้อยบ้าง แล้วถามถึงที่เกิดของพวกญาติของตน ๆ พวกพราหมณ์เหล่านั้นพาวังคีสพราหมณ์เที่ยวไปในนิคมชนบทอย่างนี้ แล้วกลับมาถึงพระนครสาวัตถี พักอยู่ใกล้พระเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งในเวลาเช้า พวกพราหมณ์เหล่านั้น ได้เห็นพวกมนุษย์เป็นอันมาก ถือดอกไม้ธูปเทียน ไปเพื่อจะฟังเทศน์ในเชตวันมหาวิหาร จึงถามว่าพวกท่านจะไปไหนกัน พวกมนุษย์ตอบว่าไปฟังเทศน์ที่พระเชตวันมหาวิหาร พวกท่านจะไปที่นั่นทำไม ก็คนที่จะดีวิเศษเช่นกับด้วยวังคีสพราหมณ์ของพวกเราหาไม่ได้อีกแล้วเธอรู้มนต์มาก พวกมนุษย์ก็เถียงว่า วังคีสพราหมณ์จะรู้อะไร คนที่จะเหมือนกับพระบรมศาสดาของพวกเราก็หาไม่ได้เหมือนกัน เมื่อต่างพวกต่างเถียงไม่ตกลงกัน จึงได้พร้อมกันไปสู่พระเชตวันมหาวิหารฯ พระบรมศาสดาทรงทราบว่าพวกวังคีสพราหมณ์มาสู่ที่เฝ้า พระองค์รับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมาห้ากระโหลก คือ กะโหลกของสัตว์เกิดในนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน มนุษยโลก เทวโลก สี่กะโหลก พระขีณาสพกะโหลกหนึ่ง ตั้งเรียงไว้โดยลำดับกัน เมื่อวังคีสพราหมณ์เข้ามาเฝ้าแล้ว พระองค์ตรัสถามว่า ฉันได้ทราบว่า ท่านร่ายมนต์แล้วเคาะกะโหลกมนุษย์ที่ตายแล้ว ย่อมรู้ที่เกิดของเขาหรือ? พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ารู้ พระบรมศาสดาจึงตรัสถาม กะโหลกของสัตว์สี่กะโหลกที่เกิดในที่ทั้งสี่ วังคีสพราหมณ์ก็ทายถูกต้องทั้งหมด พระองค์จึงตรัสให้สาธุการว่าดีละ ๆ ถูกต้องละ ลำดับนั้นพระองค์จึงตรัสถามกะโหลกที่ห้าว่า ผู้นี้ไปเกิดที่ไหน? วังคีสพราหมณ์ร่ายมนต์แล้วเคาะกระโหลกก็ไม่รู้จักที่เกิด เพราะเป็นกะโหลกพระอรหันต์ จึงนิ่งเฉยอยู่ พระบรมศาสดาตรัสถามว่า เธอไม่รู้หรือวังคีสะ?

วังคีสะ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้

พระพุทธเจ้า ฉันรู้

วังคีสะ พระองค์รู้ด้วยอะไร

พระพุทธเจ้า รู้ด้วยกำลังมนต์ของฉัน



ท่านพระวังคีสพราหมณ์

ครั้งนั้นวังคีสพราหมณ์จึงกราบทูลขอเรียนมนต์นั้น พระองค์ตรัสว่า คนที่ไม่บวชฉันให้เรียนไม่ได้ วังคีสพราหมณ์นั้นจึงคิดว่า ถ้าเราเรียนมนต์นี้ได้แล้ว เราจักเป็นใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ครั้นคิดอย่างนั้นแล้วจึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นไป และสั่งว่า พวกท่านจงรอเราอยู่นั่นแหละสักสองสามวัน เราจักบวชในสำนักของพระบรมศาสดา ครั้นวังคีสพราหมณ์ได้อุปสมบทแล้ว พระบรมศาสดาทรงประทานกรรมฐาน มีอาการสามสิบสองเป็นอารมณ์ ตรัสสั่งให้ท่องบ่นบริกรรมซึ่งมนต์นั้น ครั้นท่านสาธยายมนต์นั้นอยู่อย่างนี้ พวกพราหมณ์ก็คอยมาถามอยู่ว่า เรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง? ท่านตอบว่า รอก่อนกำลังเรียนอยู่ ล่วงไปสองสามวันเท่านั้น ท่านพระวังคีสะ ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาฯ



เอตทัคคะ

ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ไปเฝ้าพระบรมศาสดาในที่ใด เวลาใด ย่อมกล่าวคาถาสรรเสริญพระคุณของพระองค์บทหนึ่ง ๆ ก่อนเสมอ ด้วยเหตุนี้พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านว่า เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างมีปัญญา ปฏิภาณฉลาดในการผูกเป็นบทบาทคาถา ครั้นท่านวังคีสะ ดำรงชนมายุสังขารโดยสมควรแก่กาล ก็ดับขันธปรินิพพานฯ




ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/piyainta/ab56.htm