พระนันทเถระ
เอตทัคคะในทางผู้สำรวมอินทรีย์
พระนันทศากยะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับ พระนางมหาปชาบดี
โคตรมี พระน้านาง เป็นพุทธอนุชาร่วมพระบิดาเดียวกัน เมื่ออยู่ในครรภ์พระมารดา บรรดา
พระประยูรณาติปรารถนาจะได้เห็น ต่างก็มีความปีติยินดีร่างเริงบันเทิงใจ เมื่อประสูติออกมาจึง
ขนานนามว่า นันทกุมาร
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชา บำเพ็ญเพียร ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณแล้ว
เสด็จโปรดพระประยูรญาติ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ และในวันที่ ๔ แห่งการเสด็จโปรดพระประยูร
ณาตินั้น พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในนิวาสสถานแห่ง
นันทกุมาร เนื่องในการอาวาหมงคลอภิเษกสมรส ระหว่างนันกุมารกับนางชนปทกัลยาณี
อุ้มบาตรตามเสด็จ
ครั้งเสร็จภัตกิจแล้ว พระพุทธองค์ประทานบาตรส่งให้นันทกุมารถือไว้ตรัสมงคลกถาแก่
พระประยูรญาติในสมาคมนั้นโดยสมควรแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จลงจากนิวาสสถานโดย
มิได้รับบาตรคืนจากนันทกุมาร ส่วนนันทะเองก็ไม่กล้ากราบทูลเตือนให้ทรงรับบาตรคืน ด้วย
ความเคารพในพระเชษฐาเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ถือบาตรตามเสด็จลงมาโดยมิได้ตรัสอะไร ได้แต่
นึกอยู่ในใจว่าพระองค์คงจะรับบาตรคืนเมื่อถึงพื้นล่าง เมื่อพระองค์ไม่ทรงรับบาตร จึงดำริต่อ
ไปว่าเมื่อเสร็จถึงประตูพระราชวังก็คงจะทรงรับ ครั้นเห็นว่าไม่ทรงรับก็ถือบาตรตามเสด็จไป
เรื่อย แล้วก็ดำริอยู่ในใจว่า ถึงตรงนั้นก็คงจะทรงรับ ถึงตรงนี้ก็คงจะทรงรับ แต่พระพุทธองค์ก็มิ
ทรงรับบาตรคืนเลย
ส่วนนางชนปทกัลยาณี เมื่อได้ทราบจากนางสนมว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพานัทกุมาร
ไปด้วยก็ตกพระทัย รีบเสด็จตามไปโดยเร็วแล้วร้องทูลสั่งว่า:-
ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระองค์รีบเสด็จกลับโดยด่วน
จำใจบวช
นันทราชกุมาร ได้สดับเสียงของนางแล้วประหนึ่งว่า เสียงนั้นเข้าไปขวางอยู่ในหฤทัย
ให้รู้สึกปั่นป่วนอยากจะหวนกลับ แต่ก็กลับไม่ได้ ด้วยมีความเคารพในพระบรมศาสดาเป็น
อย่างมาก ต้องทนฝืนพระทัยถือบาตรตามเสด็จจนถึงนิโครธาราม เมื่อเสด็จถึงพระคันธกุฏี พระ
ผู้มีพระภาค ทรงรับบาตรคืนแล้วตรัสแก่นันทกุมารว่า นันทะ เธอจงบรรพชาเถิด
สำหรับนันทกุมารนั้น เรื่องการบวชไม่มีอยู่ในความคิดเลยแม้สักนิดหนึ่ง ภายในดวงจิต
คิดคำนึงถึงแต่ถ้อยคำและพระพักตร์ของนางชนปทกัลยาณีที่มาร้องสั่งเตือนให้รีบเสด็จกลับ แต่
เพราะความเคารพยำเกรงในพระเชษฐาเป็นยิ่งนักไม่สามารถจะขัดพระบัญชาได้ จึงจำใจรับพระ
พุทธฏีกา บวชในวันนั้น
พระนันทะ นับตั้งแต่บวชแล้ว ในดวงจิตคิดคำนึงถึงแต่นางชนปทกัลยาณีเจ้าสาวของ
ตนที่เพิ่งจะแต่งงานกัน แล้วก็ต้องจำพรากจากกันด้วยความเคารพในพระศาสดา ไม่มีแก่ใจที่จะ
ประพฤติพรตพรหมจรรย์ มีแต่ความกระสันที่จะลาสิกขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
ก็ได้แต่เล่าความในใจนั้นให้เพื่อสหธรรมมิด้วยกันฟัง
เปรียบอดีตเจ้าสาวเหมือนลิงแก่
พระบรมศาสดา ทรงทราบความจึงทรงพาพระนันทะเที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อ
ให้พระนันทะได้เห็นสตรีที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน ตั้งต้นแต่ให้เห็นสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุด โดยให้ได้
เห็นนางลิงแก่ที่หูแหว่ง จมูกโหว่ และหางขาด นั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้ดำเป็นตอตะโก จน
กระทั่งให้ได้เห็นนางเทพอัปสรบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ที่สวยโสภายิ่งนักจนหาที่สุดมิได้ ทำให้เกิด
ความกระสันอยากได้นางเทพอัปสรเหล่านั้นมาเป็นคู่ครอง พระบรมศาสดาทรงทราบวาระจิต
ของท่าน จึงตรัสถามว่า นันทะ เธอมีความเห็นอย่างไร ระหว่างนางเทพอัปสร เหล่านี้ กับ
นางชนปทกัลยาณี เจ้าสาวของเธอ ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นว่า นางชนปทกัลยาณีนั้นเปรียบเสมือนนางลิงแก่
ที่นั่งอยู่บนตอไม้ จะนำมาเปรียบเทียบกับนางเทพอัปสรเหล่านี้มิได้เลย พระเจ้าข้า
พระบรมศาสดา ทรงรับรองว่า ถ้าเธอตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์แล้ว เธอก็จะได้นางเทพ
อัปสรเหล่านั้นตามต้องการ ตั้งแต่นั้นมาพระนันทะได้ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อหวังจะได้
นางเทพอัปสรตามที่พระบรมศาสดา ทรงรับรองไว้ เพื่อนภิกษุทั้งหลายทราบความแล้ว ต่างก็พา
กันพูดจาเยาะเย้ยว่า พระนันทะ บวชเพราะรับจ้างบ้าง พระนันทะ ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อ
หวังจะได้นางเทพอัปสรบ้าง จนทำให้พระนันทะเกิดความละอายใจไม่กล้าเข้าสมาคมกับเพื่อน
พระภิกษุด้วยกันและเกิดความคิดขึ้นว่า:-
ความรักไม่มีที่สิ้นสุด ความรักทำให้เกิดความทุกข์ และความเศร้าโศกเสียใจไม่มีที่สิ้น
สุด
อนึ่ง สตรีที่มีความงามก็ไม่มีที่สิ้นสุด คนใหม่ย่อมดูงามกว่าคนเก่า คนนั้นก็ดูสวยดี
แต่คนนี้ก็งามกว่า จึงเป็นสิ่งที่หาที่สุดมิได้
ท่านจึงตัดสินใจปลีกตัวออกจากหมู่ภิกษุตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์อุตสาหะเจริญสมาธิ
กรรมฐาน ตั้งจิตไว้โดยไม่ประมาท ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรอัตผล เป็นพระขีณาสพในพระ
พุทธศาสนา จากนั้นท่านได้กลับมากราบทูลพระบรมศาสดาให้ทรงทราบว่า:-
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจอันใดที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาจะช่วยสงเคราะห์ให้ได้
นางฟ้านั้น กิจอันนั้นข้าพระองค์เปลื้องปลดจนหมดสิ้นสมประสงค์แล้ว พระเจ้าข้า
พระบรมศาสดา ตรัสอนุโมทนาและตรัสธรรมกถาว่า:-
อันเปือกตมคือกามคุณ และเสี้ยนหนามคือกองกิเลส อันบุคคลใดกำจัดทำลายได้แล้ว
บุคคลนั้นชื่อว่ามีใจไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์ทั้งปวง
อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนภิกษุถามท่านว่า เมื่อก่อนนี้ท่านพูดว่ามีจิตปรารถนาจะสึก มาบัดนี้
ท่านยังปรารถนาอย่างนั้นอยู่หรือไม่ ?"
ท่านตอบว่า ไม่มีความปรารถนาอย่านั้นอยู่อีกแล้ว
ภิกษุทั้งหลายพากันติเตียนแล้ว ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระนันทะพูดไม่เป็น
ความจริง พระเจ้าข้า
พระบรมศาสดา ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า:-
ภิกษุทั้งหลายเมื่อก่อนนี้ อัตภาพของพระนันทะเปรียบเสมือนเรือนที่มุงหลังคาไม่ดี
ฝนตกลงมาย่อมรั่วรดได้ แต่บัดนี้ เธอได้สำเร็จกิจแห่งบรรพชิตแล้ว จึงเปรียบเสมือนเรือนที่มุง
หลังคาดีแล้ว ฝนตกลงมาย่อมไม่อาจรั่วรดได้ฉันใด จิตที่บุคคลเจริญสมาธิภาวนาดีแล้ว กิเลส
ราคาทั้งหลายย่อมย่ำยีไม่ได้ ฉันนั้น
ได้รับยกย่องในทางสำรวมอินทรีย์
พระนันทเถระ เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าท่านเป็นผู้สำรวมระวังอินทรีย์
ทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มิให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส
ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจระวังไม่ให้กิเลสครอบงำใจในเวลารับรู้อารมณ์ทาง
อินทรีย์ทั้ง ๖ มิให้ตกอยู่ในอำนาจโลกธรรม ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา
ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้สำรวมอินทรีย์
ท่านพระนันทเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระพุทธศาสนาอยู่ พอสมควรแก่กาล
เวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.84000.org/one/1/07.html