พระทัพพมัลลบุตรเถระ
เอตทัคคะในทางผู้จัดเสนาสนะ
พระทัพพมัลลบุตร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ
มีพระนามเดิมว่า ทัพพราชกุมาร แต่เนื่องจากว่าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช จง
นิยมเรียกกันว่า ทัพพมัลลบุตร
ประสูติบนเชิงตะกอน
เหตุที่ท่านได้ชื่อว่า ทัพพะ ซึ่งแปลว่า ไม้ นั้นก็เพราะว่าในขณะที่พระมารดาของท่าน
ตั้งครรภ์ใกล้จะประสูตร แต่ก็สวรรคตเสียก่อน บรรดาพระประยูรญาตจึงนำศพไปเผาบนเชิง
ตะกอน เมื่อไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพระนางอยู่นั้นท้องได้แตกออก ทารกในครรภ์ได้ลอยมาตก
ลงบนกองไม้ใกล้ ๆ เชิงตะกอนนั้น และไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย พวกเจ้าหน้าที่ได้อุ้มทารกนั้น
มามอบให้พระอัยยิกา (ยาย) อาศัยเหตุการณ์นั้นจึงตั้งชื่อท่านว่า ทัพพะ
โกนผมเสร็จก็บรรลุอรหันต์
ขณะที่พระบรมศาสดา ประทับอยู่ ณ อนุปิยนิคม แคว้นมัลละแห่งนั้นพร้อมด้วยภิกษุ
พุทธสาวก ขณะนั้น ทัพพราชกุมาร มีพระชนมายุได้ ๗ พรรษาพระอัยยิกาได้พาไปเฝ้า
พระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม พร้อมกับชาวเมืองทั้งหลาย ทัพพราชกุมารได้ทอดพระเนตรเห็น
พระผู้มีพระภาค เกิดศรัทธาเลื่อมใสน้อมพระทัยไปในการออกบวช ได้กราบทูลลาพระอัยยิกา
เพื่อขอบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระอัยยิกาก็อนุโมทนาและรีบพามาสู่สำนักพระบรมศาสดา
ท่านได้ทราบถวายบังคมแล้วกราบทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ทรงมอบให้ภิกษุรูปหนึ่งเป็น
พระอุปัชฌาย์บวชให้
พระภิกษุผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนตจปัญจกกรรมฐานแก่ ทัพพราชกุมารแล้ว ในขณะ
ที่กำลังทำการโกนผมอยู่นั้น ทัพพราชกุมาร ได้พิจารณากรรมฐานที่เรียนมา คือ ผม ขน เล็บ
ฟัน และหนัง โดยลำดับ เมื่อจรดมีดโกนครั้งที่ ๑ ได้บรรลุโสดาปัตติผล จรดมีดโกนครั้งที่ ๒
ได้บรรลุสกทาคามิผล จรดมีดโกนครั้งที่ ๓ ได้บรรลุอนาคามิผล และเมื่อการโกนผมสิ้นสุดลง
ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมมภิทา ๔ และอภิญญา ๖
ขอรับภารกิจของสงฆ์
ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่อายุเพียง ๗ ขวบ ต่อมาท่านได้ตามเสด็จพระผู้มี
พระภาคไปจำพรรษาที่กรุราชคฤห์ แควนมคธ ขณะที่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่เพียงตามลำพัง ความ
คิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ท่านว่า เราอยู่จบพรหมจรรย์ สิ้นกิเลสแล้ว สมควรที่จะช่วยรับภารกิจ
ของสงฆ์ ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมบ้าง ดังนั้น เมื่อท่านมีโอกาสจึงเข้าเฝ้ากราบทูลความคิด
ของตนแก่พระบรมศาสดาพระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนาสาธุการแก่ท่านแล้วทรงประกาศให้สงฆ์
สมมติให้ท่านรับหน้าที่เป็น ภัตตุทเทสก์ คือมีหน้าที่แจกจ่ายภัตรี จัดพระภิกษุไปฉันในที่มีผู้
นิมนต์ไว้ และเป็น เสนาสนคาหาปกะ คือ มีหน้าที่จัดเสนาสนะแจกจ่ายแก่พระภิกษุผู้มาจากต่าง
ถิ่น ให้ได้พักอาศัยตามความเหมาะสม ท่านได้ทำหน้าที่นั้น ๆ ด้วยดีเสมอมา
ต่อมาพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท่านมีอายุยังน้อยนัก แต่มารับภาระอันหนักซึ่ง
ควรจะเป็นหน้าที่ของพระภิกษุมากกว่า ดังนั้น เพื่อให้ท่านปฏิบัติหน้าที่นี้ได้อย่างสะดวก
พระพุทธองค์จึงทรงบวชให้ด้วยการยกท่านจากการเป็นสามเณรขึ้นเป็นพระภิกษุในวันนั้น ด้วย
พระดำรัสว่า อชฺชโต ปฏฺฐาย ภิกฺขุ โหหิ ซึ่งแปลว่า เธอจงเป็นภิกษุตั้งแต่วันนี้ไป การบวช
ด้วยวิธีนี้เรียกว่า ทายัชชอุปสัมปทา แปลว่า การรับเข้าหมู่โดยความเป็นทายาท ทั้งนี้เพราะ
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ท่านมีคุณสมบัติสมควรที่จะเป็นพระภิกษุเพราะเป็น
พระอรหันต์ และปฏิบัติหน้าที่เทียบเท่าพระ (ในพระพุทธศาสนามีสามเณรที่ได้รับการบวชด้วย
วิธีนี้ ๓ รูป คือ สารเณรสุมนะ, สามเณรโสปากะ และสามเณรทัพพะ)
พระทัพพมัลลบุตร ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ อย่าง
สมบูรณ์และเรียบร้อยด้วยดีทุกประการ กล่าวคือ:-
ในด้านการจัดพระไปฉันในที่นิมนต์ (ภัตตุทเทสก์) ท่านจะคำนึงถึงวัยวุฒิและคุณวุฒิ
ของพระที่จะร่วมไปด้วยกัน ทั้งพิจารณาถึงความรู้จักคุ้นเคยกับทายก อีกทั้งให้พระหมุนเวียน
ผลัดเปลี่ยนกันไปตามวาระ และตามความเหมาะสมด้วย
ในด้านการจัดเสนะสนะ (เสนาสนคาหาปกะ) ท่านจัดให้พระภิกษุผู้มีอุปนิสัย
ความถนัด ความคิดเห็น และความรู้ที่คล้ายคลึงกันพักอยู่ด้วยกัน เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งกัน
นอกจากนี้ยังจัดเสนาสนะให้ตามความประสงค์ของ ผู้มาพัก เช่น ต้องการพักในถ้ำหรือในกุฎี
เป็นต้น ถ้าเป็นเวลาค่ำคืนท่านจะเข้าเตโชสมาบัติอธิษฐานให้ปลายนิ้วของท่าน เป็นดุจแท่งเทียน
ส่องสว่าง นำทางพระอาคันตุกะไปสู่ที่พัก พร้อมทั้งแนะนำสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ
กันพระอาคันตุกะควรทราบ
ถูกภิกษุณีกล่าวหาว่าข่มขืน
สมัยหนึ่ง มีพระบวชใหม่สองรูป ชื่อ พระเมตติยะ กับพระภุมมชกะ เป็นผู้มีบุญ
วาสนาน้อย เมื่อได้อาหารหรือเสนาสนะก็มักจะได้แต่ของชั้นเลวเสมอ วันหนึ่ง พระทัพพมัลล
บุตร จัดให้ท่านไปฉันที่บ้านคหบดีผู้มีปกติถวายแต่ของชั้นดีแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่วันนั้นคหบดี
ทราบว่าท่านทั้งสองมา จึงสั่งให้สาวใช้จัดอาหารชั้นเลวถวายท่าน คือทำอาหารด้วยปลายข้าว
และน้ำผักดอง เสานาสนะก็จัดให้นั่งที่ซุ้มประตู มิให้เข้ามาในบ้าน ทำให้ท่านทั้งสองขัดเคืองใจ
แล้วคิดว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระทัพพมัลลบุตร กลั่นแกล้ง
วันหนึ่งมีนางภิกษุณีชื่อเมตติยามาหาท่าน จึงเล่าเรื่องความทุกข์ให้ฟังแล้วขอร้องให้นาง
กล่าวหาพระทัพพมัลลบุตร ว่าข่มขืนนาง เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนำความกราบทูลพระ
ผู้มีพระภาค ขอให้ลงโทษพระเถระด้วยการให้ลาสิกขาออกไป
พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วตรัสถามพระเถระว่า
ดูก่อนทัพพะ เธอจำได้ไหมว่าได้ทำตามที่ภิกษุณีนี่กล่าวหา ?
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมายังไม่รู้จักการเสพเมถุน แม้แต่ใน
ความฝันเลย จึงไม่จำต้องกล่าวถึงตอนตื่นอยู่ พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์สดับแล้ว จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายสึกนางภิกษุณีเมตติยา นั้น แต่
พระเมตติยะกับพระภุมมชกะกราบทูลและสารภาพว่าทั้งหมดเป็นแผนการของตนทั้ง ๒ รูป
พระผู้มีพระภาค ทรงปรารภเหตุนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น
แล้วแกล้งโจทก์ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ได้ยกย่องทางจัดเสนาสนะ
ท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านด้วยความเรียบร้อยด้วยดีทุกประการ เป็นที่พอใจและยอมรับ
ของพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป แม้แต่ทายกทายิกา ก็ได้รับความพอใจโดยทั่วกัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้
รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง
ผู้จัดเสนาสนะ
ท่านพระทัพพมัลลบุตรเถระ นิพพานที่เมืองราชคฤห์ โดยก่อนที่จะนิพพาน ท่านได้
แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปในอากาศ ทำสมาธิเข้าสมาบัติ เมื่อออกจากสมาบัติก็นิพพาน เตโชธาตุก็
พลันเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านจนไม่เหลือเศษแม้แต่เถ้าถ่าน ณ ท่ามกลางอากาศนั้น อันเป็นไป
ตามความประสงค์ของท่าน
ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.84000.org/one/1/21.html