พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

ชาติกำเนิด และชีวิตปฐมวัย

ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ มีนามเดิมว่า จูม จันทรวงศ์ เกิดเมื่อวัน พฤหัสบดี ที่ 24 เมษายน พ.ศ.2431 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำเดือน 6 ปีชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช 2450 เป็นบุตรคนที่ 3 (ในจำนวน 9 คน) ของ นายคำสิงห์ และนางเขียว จันทรวงศ์ มีอาชีพทำนาทำไร่ ชาติภูมิอยู่บ้านท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

เด็กชายจูม จันทรวงศ์ เป็นผู้มีอุปนิสัยดี สนใจในการทำบุญทำกุศล ตั้งแต่เป็นเด็ก ชอบติดตามบิดามารดา หรือคุณตาคุณยาย ไปวัด ได้มีโอกาสพบเห็นพระสงฆ์เป็นประจำ เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าเรียนหนังสือ ก็ไปเข้า โรงเรียนวัดศรีเทพ ประดิษฐาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จนจบหลักสูตรประถมศึกษาบริบรูณ์ ในสมัยนั้น

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

ต่อมาเมื่อเด็กชายจูม จันทรวงศ์อายุได้ 12 ปี บิดามารดาประสงค์จะให้ลูกชายได้บวชเรียนในพุทธศาสนา จึงได้จัดการ ให้เด็กชายจูมได้บรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.1442 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 1 (เดือนอ้าย) ปีกุน โดยมี พระครูขันธ์ ขนฺติโก วัดโพนแก้ว ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูเหลา วัดโพนแก้ว เป็นพระอาจารย์ ผู้ให้ไตรสรณคมน์และศีล ท่านพระครูสีดา วัดโพนแก้ว เป็นพระอาจารย์ผู้ให้โอวาท และอบรมสั่งสอนความรู้ ทางหลักธรรม

เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดโพนแก้ว และได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม รวมทั้งระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณีของ วัดโพนแก้วเป็นเวลา 3 ปี

การศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ในสมัยนั้นเป็นการเรียนอักษรสมัย คือ อักษรขอม อักษรธรรม และภาษาไทย สามเณรจูม จันทรวงศ์ มีความสนใจในการศึกษา เล่าเรียนสามารถเขียนอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม จนเป็นที่รักใคร่ ของครูบาอาจารย์ นอกจากนี้ ท่านยังได้ฝึกหัดเทศน์มหาชาติ (เวสสันดรชาดก) เป็นทำนองภาคอีสาน ปรากฏว่า เป็นที่นิยมชมชอบ ของบรรดาญาติโยมทั้งบ้านใกล้ และบ้านไกล

ต่อมาในปี พ.ศ.2445 สามเณรจูม จันทรวงศ์ ได้ย้ายไปอยู่วัดอินทร์แปลง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และจะได้เป็นปัจจัยสำคัญ ในการศึกษาหลักธรรมชั้นสูง สืบต่อไป แต่ท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดอินทร์แปลงได้เพียงปีเดียว ในปี พ.ศ.2446 ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ซึ่งต่อมาเป็น "พระเทพสิทธาจารย์" และเป็นพระอาจารย์สามเณรจูม ท่านมีจิตใจมุ่งมั่น ที่จะบำเพ็ญสมณธรรม ตามหลักของไตรสิกขา และมีความสนใจ เรื่องการปฏิบัติกรรมฐาน เป็นพิเศษ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย จึงปรารภกับหมู่คณะ และสานุศิษย์ว่า จะเดินทางไปกราบขออุบายธรรมปฏิบัติ จากพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายสมถกรรมฐาน คือ พระอาจารย์เสาร์ กนุสีตโล และ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ดังนั้น สามเณรจูมและหมู่คณะ จึงได้ติดตามพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย เดินทางออกจากจังหวัดนครพนม มุ่งสู่จังหวัดอุบลราชธานี

คณะพระอาจารย์จันทร์และลูกศิษย์ ออกเดินทางรอนแรมไปตามป่าดงพงไพร พักไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านหมู่บ้าน เนื่องจาก การเดินทางในสมัยนั้นยาก ลำบากเต็มทน นอกจากต้องเดินทางด้วยเท้าเปล่าแล้ว ยังต้องผ่านป่าดงหนาทึบ และบางตอน เป็นภูเขาสูงชัน บางตอนเป็นหุบเหวลึก ต้องหาทางหลีกเลี่ยงวกไปวนมา จึงทำให้การเดินทางล่าช้า เมื่อไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ได้นำคณะศิษย์เข้ากราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ สำนักวัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้ฝากถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติและแนวกรรมฐาน

ตลอดเวลา 3 ปี ที่อยู่จำพรรษา ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลฯ สามเณรจูม จันทรวงศ์ ได้รับการอบรมสั่งสอน จากพระอาจารย์ใหญ่ ทั้งสองท่านเป็นอย่างดี จนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัตรปฏิบัติ และแนวทางเจริญกรรมฐานเป็นที่น่าพอใจ เพราะอาศัยเมตตาจิต และโอวาทานุสาสนี จากพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง จึงทำให้อุปนิสัย ของสามเณรจูม ยึดมั่นในพระธรรมวินัย ประพฤติดีปฏิบัติชอบ สร้างสมบารมีเรื่อยมา จนได้เป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นปูชนียบุคคลของชาวอีสานในกาลต่อมา

ภายหลังจากที่ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานกับพระอาจารย์เสาร์ และ พระอาจารย์มั่นเป็นเวลา 3 ปีแล้ว ในปี พ.ศ. 2449 ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธาจารย์) จึงได้กราบลาพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง พาคณะพระภิกษ และสามเณร เดินทางกลับจังหวัดนครพนมอันเป็นถิ่นมาตุภูมิ ในการเดินทางกลับนั้น ก็มีความยากลำบากเหมือนกับตอนเดินทางมา คือ ต้องเดินทางด้วยเท้า ไม่มียานพาหนะใดๆ ถนนก็ยังไม่มี คงมีแต่หนทาง และทางเกวียนที่ลัดเลาะไปตามป่าตามดง เมื่อผ่านหมู่บ้าน ก็ปักกลดพักแรม เป็นระยะๆ หมู่บ้านละ 2 คืนบ้าง 3 คืนบ้าง ชาวบ้านรู้ข่าวก็พากันมาฟังธรรม โดยท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย เป็นผู้แสดงธรรมโปรดญาติโยม ทุกหมู่บ้านที่ผ่านเข้าไป ประชาชนเกิดศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง บางแห่งถึงกับนิมนต์ คณะของพระอาจารย์จันทร์ ให้พักอยู่หลายๆ วันก็มี

ครั้นถึงวันที่ 8 เดือนเมษายน พ.ศ.2449 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย เป็นวันมหาฤกษ์ ที่คณะพระสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย เดินทางเข้าเขตจังหวัดนครพนม ถึงบ้านหนองขุนจันทร์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองนครพนม จึงหยุดพักอยู่ที่นั่น ก่อน พระยาสุนทรกิจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนม ได้ทราบข่าวว่ามีพระผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น เดินทางมาถึงบ้านหนองขุนจันทร์ ก็เกิดความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก จึงสั่งให้ข้าราชการทุกแผนก ประกาศให้ ประชาชนทราบ และจัดขบวนออกไปต้อนรับ โดยมีเครื่องประโคมต่างๆ มีฆ้อง กลอง ปี่ พาทย์ เป็นต้น เมื่อไปถึง ท่านเจ้าเมือง ก็เข้ากราบนมัสการพระสงฆ์เหล่านั้น และนิมนต์ให้ขึ้นนั่งบนเสลี่ยงซึ่งมีชายฉกรรจ์แข็งแรง 4 คนหามแห่เข้าสู่เมืองนครพนมจนถึง วัดศรีขุนเมือง (วัดศรีเทพประดิษฐาราม) คณะสงฆ์ลูกศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น ก็ได้ปักหลักตั้งสำนักสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุตติกนิกายอยู่ ณ อารามแห่งนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธา จารย์) ได้พิจารณาเห็นว่า ลูกศิษย์ทั้ง 7 คนของท่านคือ สามเณรจุม จันทรวงศ์ สามเณรสังข์ สามเณรเกต สามเณรคำ นายสาร นายสอน และนายอินทร์ ทั้งหมดนี้เป็นผู้มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ สมควรจะทำการอุปสมทบได้แล้ว ท่านพระอาจารย์จันทร์ จึงจัดเตรียมบริขารเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ศิษย์ แล้วพาคณะศิษย์ทั้ง 7 คน เดินทางจากเมืองนครพนม ไปยังเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เพื่อเข้ารับการ อุปสมบทเป็นพระภิกษุสืบต่อไป

ในการเดินทางครั้งนั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ได้เล่าไว้ว่า "เดินทางด้วยเท้าเปล่าจากเมืองนครพนมถึงหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา 15 วันเต็มๆ ไปถึงแล้วก็พักผ่อนกันพอสมควร วันอุปสมบทคือ วันที่ 9 เดือนมีนาคม พ.ศ.2450 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม ณ พัทธสีมาวัดมหาชัย ตำบลหนองบัวลำภู อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี โดยมีท่านพระครูแสง ธมฺมธโร วัดมหาชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสีมา สีลสมฺปนฺโน วัดจันทราราม (เมืองเก่า) อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพ สิทธาจารย์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พนฺธุโล" การอุปสมบทเสร็จสิ้นเมื่อเวลา 17.10 น.

หลังจากที่พระภิกษุจูม พนฺธุโล ได้อุปสมบทเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ก็ได้นำคณะพระนวกะที่เป็นลูกศิษย์ เดินทางกลับจังหวัดนครพนม โดยผ่านเมืองอุดรธานี มุ่งสู่จังหวัดหนองคาย ลงเรือชะล่า ซึ่งพระยาสุนทรเทพสัจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนม จัดให้มารับที่จังหวัดหนองคาย ล่องเรือไปตามแม่น้ำโขงเป็นเวลา 12 วันเต็มๆ ก็ถึงนครพนม จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม (วัดศรีขุนเมือง) 1 พรรษา

ในปี พ.ศ.2451 พระภิกษุสามเณรจำนวน 5 รูป ได้แก่ 1. พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย 2. พระภิกษุจูม พนฺธุโล 3. พระภิกษุสาร สุเมโธ 4. สามเณรจันทร์ มุตตะเวส และ 5. สามเณรทัศน์ ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ให้มีความรู้ ทางด้านนักธรรมและบาลีให้ดียิ่งขึ้น การเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในสมัยนั้น เต็มไปด้วยความลำบาก อาศัยพ่อค้าหมูเป็นผู้นำทาง ผ่านจังหวัดสกลนคร ขึ้นเขาภูพาน และต้องนอนค้างคืนบนสันเขาภูพานถึง 2 คืน ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น อำเภอชนบท และหมู่บ้านต่างๆ จนถึง จังหวัดนครราชสีมา ใช้เวลาเดินทาง ทั้งสิ้น 24 วัน เมื่อเดินทางถึงนครราชสีมา ก็ได้โดยสารรถไฟ ต่อเข้ากรุงเทพฯ เพราะในสมัยนั้นทางรถไฟมาถึงแค่โคราช ถึงกรุงเทพฯ แล้วได้ไปพักอยู่วัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งมี พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณ เป็นเจ้าอาวาส ท่านพระอาจารย์ จันทร์ เขมิโย ได้นำคณะเข้ากราบเรียน โดยนำจดหมายฝากจาก พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนมเข้าถวาย ท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณทราบเจตจำนงแล้ว ก็ได้รับพระภิกษุสามเณรทั้ง 5 รูปให้อยู่จำพรรษาที่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมสืบต่อไป

พระภิกษุจูม พนฺธุโล ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรมและบาลี ณ สำนักวัดเทพศิรินทราวาส เป็นเวลา หลายพรรษา พระภิกษุจูมได้ตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียน ด้วยวิริยะและอุตสาหะ แม้จะทุกข์ยากลำบาก ก็อดทนต่อสู้เพื่อความรู้ ความก้าวหน้า ในที่สุดท่านก็สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี และชั้นโท ต่อมาก็เรียนบาลีไวยากรณ์ และแปลธรรมบท สอบไล่ ได้เปรียญธรรม 3 ประโยค จากความสำเร็จทางการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมนี้ พระมหาจูม พนฺธุโล จึงได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูฐานานุกรม ที่ "พระครูสังฆวุฒิกร" ซึ่งเป็นฐานานุกรมของ พระสาสนโสภณ (เจริญ ญาณวโร) ในปี พ.ศ.2448 ปีมะเส็ง เป็นปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ (โพธิ เนตติโพธิ์) มีศักดิ์เป็นมหาอำมาตย์ตรี ซึ่งเป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลอุดรธานี ได้จัดสร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง (นอกเหนือไปจากวัดมัชฌิมาวาส) ได้นิมนต์พระครูธรรมวินยานุยุต เจ้าคณะ เมืองอุดรธานี จากวัดมัชฌิมาวาส มาเป็นเจ้าอาวาสวัดที่สร้างใหม่นี้ ต่อมาพระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ ได้เข้ากราบทูลขอชื่อวัดใหม่ ต่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ทรงประทานนามว่า "วัดโพธิสมภรณ์" ให้เป็นอนุสรณ์ แด่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ (โพธิ เนตติโพธิ์) ผู้ก่อตั้งจำเดิมแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมา พ.ศ.2456 พระยาราชานุกูลวิบูลย์ภักดี (อวบ เปาโรหิตย์) ดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลภาคอีสาน และเป็น สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรธานี ภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยามุขมนตรีศรีสมุหพระนครบาล ได้พิจารณาเห็นว่า ภายใน เขตเทศบาลอุดรธานี ยังไม่มีวัดฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย สมควรจะจัดให้วัดโพธิสมภรณ์ เป็นวัดคณะธรรมยุติ และในขณะเดียวกันก็ขาด พระภิกษุผู้จะมาเป็นเจ้าอาวาส เนื่องจากเจ้าอาวาสองค์ก่อน (คือ พระครูธรรมวินยานุยุต) ชราภาพมาก และญาติโยมได้นิมนต์ ให้กลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน คือ วัดศรีเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย ท่านพระยามุขมนตรีฯ (อวบ เปาโรหิตย์) จึงไปปรึกษา หารือกับพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ และได้นำความขึ้นกราบทูล พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯ เพื่อขอพระเปรียญธรรม 1 รูป จาก วัดเทพศิรินทราวาส ไปเป็นเจ้าอาวาส วัดโพธิสมภรณ์

ท่านเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส โดยบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้คัดเลือกพระเปรียญธรรม ผู้มีความรู้ความสามารถ ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาและจริยา และมีภูมิลำเนาอยู่ภาคอีสาน ปรากฏว่าพระครูสังฆวุฒิกร (จูม พนธุโล น.ธ.โท. ป.ธ. 3) ได้รับการคัดเลือก นับว่าเป็นผู้เหมาะสมที่สุด และเป็นที่พอใจของพระยามุขมนตรีฯ อีกด้วย เพราะท่านพระยาฯ มีความสนิทคุ้นเคย และเคยเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงพระครูสังฆวุฒิกร (จูม) มาก่อน

พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พนฺธุโล) อยู่จำพรรษาที่วัดเทพศิรินทราวาส เป็นเวลานานถึง 15 ปี เมื่อได้รับพระบัญชาจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และ พระสาสนโสภณ เช่นนั้น ก็มีความเต็มในที่จะสนองพระเดชพระคุณอย่างเต็มที่ จึงอำลาวัดเทพศิรินทราวาส ที่ท่านอยู่จำพรรษามานานถึง 15 ปี เดินทางสู่จังหวัดอุดรธานี ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ อันเป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 เป็นต้นมา เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ในฐานะนักปกครองเป็นครั้งแรก พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พนฺธุโล) ก็ได้เร่งพัฒนาวัดโพธิสมภรณ์ให้เจริญรุ่งเรือง ทั้งทางด้านศาสนาสถาน ศาสนศึกษา ศาสนบุคคลและศาสนธรรม

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) มีปฏิปทาอันน่าเลื่อมใส และควรยึดถือเป็นแบบอย่าง เป็นเอนกประการ ท่านได้อุทิศตน เพื่อทำงานเผยแผ่หลักธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมิได้เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ภาระหน้าที่หลัก ที่ท่านถือเป็นธุระสำคัญมี 4 อย่าง ด้วยกัน คือ

(1) การปกครอง
(2) การศึกษา
(3) การเผยแผ่ และ
(4) การสาธารณูปการ

ด้านการปกครองนั้น ท่านถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเป็นผู้นำ จะเห็นได้จากที่ท่าน เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ เป็นเวลา 39 ปี เป็นพระอุปัชฌาย์ 39 ปี เป็นผู้รักษาการเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี 3 ปี เป็นเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี 14 ปี เป็นสมาชิกสังฆสภา 17 ปี เป็นเจ้าคณะธรรมยุตผู้ช่วยภาค 3, 4 และ 5 รวม 12 ปี ท่านปกครองพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ด้วยหลักพรหมวิหารธรรม เป็นพระเถระที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย

ส่วนทางด้านการศึกษา พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระธรรมเจดีย์ ก็เอาใจใส่และให้การสนับสนุนด้วยดีตลอดมา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ท่านได้รับการฝึกอบรมสั่งสอน มาจากสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส อันเป็น ศูนย์กลางการศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนา ท่านได้ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรมและแผนกบาลี และท่านเป็นครูสอนปริยัติด้วยตนเอง นับตั้งแต่ สมัยที่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ใหม่ๆ จนทำให้วัดของท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง มีพระภิกษุสามเณรสอบได้ทั้งนักธรรม และเปรียญธรรมปีละมากๆ

นอกจากการเอาใจใส่ในงานส่วนรวมแล้ว ท่านยังมีปฏิปทา ทางด้านวัตรปฏิบัติ อันมั่นคงด้วยดีตลอดมา นั่นคือ

(1) ฉันภัตตาหารมื้อเดียว หรือ ที่เรียกว่า "เอกาสนิกังคะ"
(2) ถือไตรจีวร คือ ใช้ผ้าเพียง 3 ผืน
(3) ปฏิบัติสมถกรรมฐาน กำหนดภาวนา "พุทโธ" เป็นอารมณ์
(4) ปรารภความเพียร ขยันเจริญ สมาธิภาวนา และ
(5) เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว ท่านก็ออกตรวจการเดินทางไปเยี่ยมเยือนพระภิกษุสามเณร ซึ่งอยู่ในเขตปกครองเป็นลักษณะการไปธุดงค์ตลอดหน้าแล้ง

คุณงามความดีที่พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ได้บำเพ็ญมาด้วยวิริยะอุตสาหะ ทำให้พระเถระผู้ใหญ่ มองเห็นความสำคัญ และความสามารถของท่าน จึงได้ยกย่องเทิดทูนท่าน ไว้ในตำแหน่งทางสมณศักดิ์ตามลำดับดังนี้

พ.ศ.2463 เป็นพระครูฐานานุกรม ของ พระสาสนโสภณ (เจริญ ญาณวโร) ในตำแหน่ง พระครูสังฆวุฒิกร
พ.ศ.2468 ได้รับพระราชท่านสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรพัดยศ ที่ พระครูชินโนวาทธำรง
พ.ศ.2470 ได้รับพระราชท่านเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชคณะชั้นสามัญ ที่ พระญาณดิลก
พ.ศ.2473 ได้รับพระราชท่านเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชเวที
พ.ศ.2478 ได้รับพระราชท่านเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพกวี
พ.ศ.2488 ได้รับพระราชท่านเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมเจดีย์

ธรรมโอวาท

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ได้แสดงความจริงในอารมณ์จิตของท่าน และหาวิธีระงับ ดับอารมณ์นั้น โดยไม่หลงใหลไหกับโลกธรรม อุบายนั้นท่านได้แสดงไว้ว่า

"จิตเป็นธรรมชาติที่กวัดแกว่งดิ้นรน กระสับกระส่าย แส่ไปตามอารมณ์ที่ใคร่ พอใจในเบญจกามคุณ ถึงกระนั้นก็ได้มี ทมะ คือความข่มจิตไว้ ไม่ให้ยินดียินร้ายไปตามอารมณ์ พร้อมทั้งมีสติประคับประคองยกย่องจิตตามอนุรูปสมัยนับว่าได้ผล คือจิตสงบ ระงับจากนิวรณูปกิเลสเป็นการชั่วคราวบ้าง เป็นระยะยาวนานบ้าง แต่ในบางโอกาสก็ควบคุมได้ยาก ซึ่งเป็นของธรรมดา สำหรับปุถุชน ต่อจากนั้นก็ได้บากบั่นทำจิตของตนให้รู้เท่าทันสภาวธรรมนั้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตื่นเต้นไปกับโลกธรรม แต่ว่าระงับได้ ในบางขณะเช่น ความรัก ความชัง อันเป็นปฏิปักขธรรมเป็นต้น เหล่านี้ยังปรากฏมีในตนเสมอ ถึงกระนั้น ก็ยังมีปรีชา ทราบอยู่เป็นนิตย์ว่า เป็นโลกิยธรรมนำสัตว์ให้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ฝึกหัดดัดนิสัย พยายามถอนตน ออกจากโลกียธรรม ตามความสามารถ รู้สึกว่าสบายกายสบายใจอันแท้จริงธรรมนี้เกิดจากข้อวัตรปฏิบัติในการละ พอใจยินดีอย่างยิ่ง ในความสงบ"

และอีกคราวหนึ่งท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ โดยมีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งติดตามไปด้วย คือ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี วันนั้นท่านได้แสดงธรรมไว้อย่างแยบคาย พอที่จะหยิบยก เอาใจความสำคัญมากล่าวไว้ในที่นี้ดังต่อไปนี้:-

"จิตของพระอริยะเจ้าแยกอาการได้ 4 อาการคือ

อาการที่ 1 อโสก จิตของท่านไม่เศร้าโศก ไม่มีปริเทวนา การร้องไห้เสียใจ จิตใจของท่านมีความสุขล้วนๆ ส่วนจิตใจของปุถุชน คนธรรมดายังหนาไปด้วยกิเลสเต็มไปด้วยความรัก ความโศกถูกความทุกข์ครอบงำ ความโศกย่อมเกิดจากความรักเป็นเหตุ เมื่อมีความรัก ก็มีความโศก ถ้าตัดความรักเสียแล้ว ความโศกจะมีแต่ที่ไหน

อาการที่ 2 วิรช จิตของพระอริยเจ้าผ่องแผ้ว ปราศจากฝุ่น ไร้ธุลี คือ ปราศจากราคะ โทสะ และโมหะ คงจะมีแต่พุทธะคือ รู้ ตื่น เบิกบาน

อาการที่ 3 เขม จิตของพระอริยเจ้ามีแต่ความเกษมสำราญ เพราะปราศจากห้วงน้ำไหลมาท่วมท้นห้วงน้ำใหญ่เรียกว่า "โอฆะ" ไม่อาจจะท่วมจิตของพระอริยะเจ้าได้

อาการที่ 4 จิตของพระอริยะไม่หวั่นไหวไปตามอำนาจกิเลส ไม่ตกอยู่ในห้วงแห่งอวิชชา จิตของพระอริยะมีแต่อาโลโก สว่างไสวแจ่มแจ้ง ธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เคยพบเคยเห็นตั้งแต่ภพก่อนชาติก่อน และไม่เคยฟังจากใคร คราวนี้ก็แจ่มแจ้งไปเลย เพราะท่านตัดอวิชชาเสียได้"

ปัจฉิมบท

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นพระมหาเถระผู้มีบุญบารมีมากรูปหนึ่ง มีคุณธรรมสูง มีวัตรปฏิปทาอันงดงาม ซึ่งพอที่จะนำมากล่าวได้ ดังนี้

1. ธีโร เป็นนักปราชญ์
2. ปญฺโญฺ มีปัญญาเฉียบแหลม
3. พหุสฺสุโต เป็นผู้คนแก่เรียน
4. โธรยฺโห เป็นผู้เอาจริงเอาจังกับธุระทางพุทธศาสนา คือ คันถธุระและวิปัสนาธุระ
5. สีลวา เป็นผู้มีศีลวัตรอันดีงาม
6. วตวนฺโต เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธุดงควัตร
7. อริโย เป็นผู้ห่างไกลจากความชั่ว
8. สุเมโธ เป็นผู้มีปัญญาดี
9. ตาทิโส เป็นผู้มั่นคงในพระธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
10. สปฺปุริโส เป็นผู้มีกาย วาจา และ ใจ อันสงบเยือกเย็น เป็นสัตบุรุษ พุทธสาวก ผู้ควรแก่การกราบไหว้ บูชาโดยแท้

ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เริ่มอาพาธมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 จนถึงเดือน มีนาคม พ.ศ.2505 คณะแพทย์ โรงพยาบาลศิริราชได้ถวายการรักษา โดยการผ่าตัดก้อนนิ่วออก รักษาจนหายเป็นปกติแล้วเดินทางกลับวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ต่อมาปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2505 ท่านเริ่มอาพาธอีก คณะแพทย์ซึ่งมี ศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์ เป็นประธานได้นิมนต์ท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2505 โดยมีพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ร่วมเดินทางไปด้วย

ศาสตราจารย์ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้ถวายการรักษาด้วยการผ่าตัด ถุงน้ำดีมีก้อนนิ่ว 11 เม็ด อาการดีขึ้นเพียง 3 วัน ต่อจากนั้นอาการก็ทรุดลง ต้องให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ วันที่ 9 กรกฎาคม 2505 ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ก็ถูกเวทนาอันแรงกล้า ครอบงำ แต่ท่านก็มิได้แสดงอาการใดๆ ให้ปรากฏ จนกระทั่งวันที่ 11 กรกฎาคม 2505 พระธรรมเจดีย์ก็ถึงแก่กรรม มรณภาพด้วยอาการอันสงบ เมื่อเวลา 15.27 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลศิริราช ท่านได้ละสังขารอันไม่มี แก่นสารนี้ไป สิริรวมอายุได้ 74 ปี 2 เดือน 15 วัน พรรษา 55



ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.amulet.in.th/forums/view_...8bc1535da1db57