หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย
นามเดิม เหรียญ นามสกุล ใจขาน เกิดเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ณ บ้านหม้อ ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย บิดาชื่อ ผา มารดาชื่อ พิมพา ปฐมวัยครอบครัวของข้าพเจ้ามีอาชีพทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ มีพี่น้องเกิดด้วยกัน ๗ คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ ๒ บรรดาพี่น้องผู้ที่เกิดร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คนนั้น ได้ตายเสียตั้งแต่ยังเล็กทุกคน จึงไม่มีชื่อปรากฏอยู่ในที่นี้ ส่วนมารดานั้นได้ตายจากไปตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ปี ครั้นอยู่ต่อมาไม่กี่เดือน บิดาก็ไปมีภรรยาใหม่ ข้าพเจ้าจึงได้อยู่กับคุณยายมาจนอายุได้ ๑๓ ปี และเรียนหนังสือไทยจบในปีนั้น ต่อจากนั้นจึงได้ไปอยู่กับบิดา มารดาใหม่นั้นมีลูกกับสามีคนก่อน ๕ คน ซึ่งบังเอิญสามีก็ตายไปในปีเดียวกันกับมารดาข้าพเจ้าเหมือนกัน ต่อมาได้มีลูกกับบิดาข้าพเจ้าอีก ๒ คน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเป็น ๘ คนพอดี เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยก็ได้ทำการงานช่วยบิดามารดาร่วมกับพี่น้องทั้งหลายตลอดมา และเคารพนับถือกันฉันท์พี่น้องที่เกิดร่วมท้องเดียวกัน ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนถึงกับแตกสามัคคีกันเลย ข้าพเจ้านั้นมีนิสัยชอบทำการงาน และทำจริง ไม่ทำเหลาะแหละเหลวไหล ทำการงานอย่างใดก็ให้เสร็จไปอย่างนั้น ไม่ทอดทิ้งการงาน และไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ชอบทะเลาะกับใครๆ ถ้าจะมีเหตุให้ทะเลาะกันก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยง และมีความอดทนต่อคำด่าว่าติเตียนต่างๆ ไม่ถือมั่นไว้ในใจ
พูดถึงความรักแล้ว นับว่าข้าพเจ้ามีความรักมาก เช่น รักพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา และผู้อื่นที่เกิดร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ยังรักขยายออกไปถึงเพศตรงข้ามซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันในทางชู้สาว และฝ่ายตรงข้ามก็รักข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน โดยเข้าใจว่าเขาคงจะมองเห็นคุณธรรมอันมีอยู่ในใจของข้าพเจ้า คือ ความอดทนต่อความชั่วร้ายดังกล่าวมานั้นหนึ่ง และอดทนต่อหน้าที่การงานหนึ่ง เขาจึงได้มีความรักอย่างจริงใจต่อข้าพเจ้า
จิตมีธรรม ปรารถนาออกบวช
ในคราวนั้นข้าพเจ้าก็คิดว่าจะครองเรือนเช่นเดียวกับคนทั้งหลายที่เขาครองกันมาแล้วนั้น ครั้นเมื่ออายุย่างเข้า ๒๐ ปี เห็นจะเป็นด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้สร้างมาแต่ชาติก่อนมาดลจิตให้นึกถึงความทุกข์ในชีวิตอันเป็นปัจจุบัน โดยคิดเห็นว่าเกิดมาแล้วต้องทำการงาน และงานที่ทำนั้นก็ไม่รู้จักจบสิ้น เช่น ทำนา ทำปีนี้แล้วได้ข้าวใส่ยุ้งไว้รับประทานบ้าง ขายบ้าง ครั้นถึงปีใหม่มาข้าวในยุ้งก็จวนจะหมดแล้ว ต้องทำนาอีกต่อไปอย่างนี้ทุกปี จึงถามตัวเองว่าเมื่อไรจึงจะได้ยุติจากการทำนาทำสวนเล่า ตอบตนเองว่า ไม่มีทางยุติได้ถ้าไม่วางมือหนีไปบวชเสีย การทำนาทำสวนมีแต่ทุกข์ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินและก็ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสักอย่างเดียว ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป มีแต่ทิ้งไว้ในโลกนี้ทั้งหมด และก็ได้ตั้งปัญหาถามตนเองต่อไปอีกว่า แล้วทำไมคนทั้งหลายจึงชอบใจกับความเป็นอยู่เช่นนี้นัก ตอบว่า เพราะคนทั้งหลายไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผลในเรื่องนี้ให้รู้เห็นโดยแจ่มแจ้งตามความเป็นจริง จึงไม่เบื่อหน่าย อนึ่ง สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์ให้เท่านั้น บางทีมันก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้น คนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้วก็เป็นทุกข์นั้นแหละมากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นความสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้วก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้ปรากฏในใจว่า ร่างกายนี้แตกกระจายออกไปหมด เพ่งไปไหนก็เห็นแต่อากาศว่างไปหมดทั้งโลกอันนี้ปรากฏว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีคนเลย ดังนั้นจึงเกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างยิ่งว่า โอหนอโลกนี้ช่างไม่จิรังยั่งยืนจริงๆ ทำอย่างไรหนอเราจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ ตอบตนเองว่า มีแต่บวชเท่านั้นถึงจะพอมีหนทางพ้นได้
ต่อจากนั้นจึงเกิดศรัทธาอยากบวชขึ้นมาในใจอย่างรุนแรงจนถึงกับเบื่อหน่ายต่อการงานทุกอย่าง จึงได้ขอลามารดาบิดาออกบวช บิดาขอร้องไว้ให้ช่วยทำยุ้งใส่ข้าวเสียก่อนจึงค่อยบวช เพราะยุ้งเก่าใช้มานานมันชำรุดมาก ตอบท่านว่าเห็นจะช่วยทำไม่ได้ดอก มือไม้อะไรอ่อนหมด ไม่สามารถจะทำงานต่อไปได้อีก ท่านเห็นว่าข้าพเจ้าอยากบวชอย่างรุนแรงมาก จึงได้อนุญาตให้ไปบวชตามประสงค์
ออกบวช
ข้าพเจ้าดีใจมาก ได้กราบลาท่านทั้งสองเข้าวัด เรียนครองบวชอยู่สิบห้าวันก็ได้บวชที่อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทองอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในคราวนั้นเข้าบวชด้วยกันประมาณ ๘ รูป ซึ่งมี ท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อบวชแล้วก็ได้กลับมาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ บวชเมื่อเดินมกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕ อาจารย์วัดโพธิ์สอนให้ภาวนาอนุสสติ ๑๐ ข้าพเจ้าก็ท่องเอา แล้วก็บริกรรมในใจว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ไปจนถึง อุปสมานุสสติ จบแล้วตั้งใหม่เรื่อยไป รู้สึกว่าจิตสงบเบิกบานดีพอสมควร ไม่เฉพาะแต่นั่งสมาธิเท่านั้นที่บริกรรม แม้แต่ยืนเดินนอนก็บริกรรมเป็นอารมณ์ติดต่อกันไป
พรรษาแรกจำพรรษา ณ วัดศรีสุมัง
ครั้นถึงเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดศรีสุมัง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เพื่อเรียนนักธรรมต่อไป เมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีสุมังนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนถามเรื่องการภาวนากับท่านอาจารย์บุญจันทร์ รองเจ้าอาวาส และได้เรียนท่านว่า ผมภาวนาอนุสสติ ๑๐ อยู่ทุกวันนี้ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่
ท่านตอบว่า ถ้าให้ถูกตามหลักจริงๆ ก็คงไม่ถูก เพราะว่าการเจริญบริกรรมภาวนา ท่านสอนให้เลือกเอากรรมฐานบทใดบทหนึ่งที่ถูกกับจริตของตน แล้วบริกรรมแต่เฉพาะบทเดียวเท่านั้น จิตจึงจะสงบเป็นหนึ่งได้เร็ว ท่านได้แนะให้บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ข้าพเจ้าจึงได้บริกรรมพุทโธ ตั้งแต่นั้นมา
ในพรรษานั้นมีทั้งเรียนนักธรรม และทั้งภาวนาไปพร้อมกัน ตอนกลางวันเข้าเรียนนักธรรม ตอนกลางคืนตั้งแต่ย่ำค่ำไปทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งท่องหนังสืออยู่ตามลานวัดไปจนถึงเที่ยงคืนจึงหยุดการท่องบ่นสาธยาย ต่อจากนั้นก็เข้าที่ไหว้พระส่วนตัว เสร็จแล้วก็นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า หลับตาแล้วอธิษฐานใจ นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ด้วยความสัจนี้ขอให้จิตของข้าพเจ้าสงบลงเป็นหนึ่ง อย่าได้ฟุ้งซ่านไปทางอื่น ขอให้ข้าพเจ้ารู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น คือ อริยสัจสี่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วก็บริกรรมแต่ "พุทโธ" อย่างเดียว ครั้งแรกพุทโธไม่ได้อยู่กับตัวเลย มันวิ่งไปไกลแสนไกล แต่สติก็ตามรู้ไปเสมอ และพยายามนึกพุทโธให้ใกล้ตัวเข้ามาโดยลำดับ ในที่สุดพุทโธก็เข้ามาอยู่ที่กายแล้วน้อมเข้าไปที่ใจ เมื่อพุทโธเข้าไปถึงที่ใจแล้ว ใจก็ค่อยสงบลงโดยลำดับ เมื่อรู้ว่าจิตสงบลงแล้วจึงจำวัดถึงเวลาตีสี่หัวรุ่ง เสียงระฆังดังขึ้นที่กุฏิเจ้าอาวาส พระเณรก็พาไปรวมกันทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็เลิกกันไป ตอนเช้าออกบิณฑบาต ฉันเช้าแล้วก็ดูหนังสือนักธรรม พอเที่ยงครึ่งก็ไปเรียนนักธรรมที่วัดอื่นซึ่งอยู่ใกล้กัน ค่ำลงก็ไปรวมกันทำวัตรสวดมนต์ในอุโบสถ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้จนตลอดพรรษา
และถึงเดือนธันวาคม ก็สอบนักธรรม เสร็จแล้วได้ลาเจ้าอาวาสกลับวัดเดิม คือวัดโพธิ์ชัย
ในระหว่างนั้น โยมบิดาเอาหนังสือธรรมะมาถวายเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเจริญสมถะและวิปัสสนาของ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นผู้เรียบเรียง เมื่อได้อ่านดูแล้วรู้สึกเกิดความสนใจขึ้น ในหนังสือเล่มนั้นท่านได้อธิบายเรื่อง สติปัฏฐานสี่ โดยเฉพาะเรื่อง กายานุปัสสนา
ท่านได้แนะนำให้พิจารณาร่างกาย โดยให้เพ่งดูร่างกายนี้ แล้วแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น ผม กองหนึ่ง ขน กองหนึ่ง เล็บ กองหนึ่ง ฟัน กองหนึ่ง หนัง กองหนึ่ง เป็นต้น จนถึงอาการสามสิบสอง เสร็จแล้วให้ถามตัวเองดูว่า ไหนที่ว่าตัวตนของเรานั้นอยู่ไหน นั่นก็กองผม นั่นก็กองขน เป็นต้น ในที่สุดตัวเราไม่มี เมื่อไฟเผาแล้วก็จะยังเหลือแต่เถ้ากับกระดูกเท่านั้น กำหนดเอากระดูกใส่ครกบดให้ละเอียดแล้วเอาซัดตามลม ลมพัดหายไปหมด แล้วสติก็รู้ได้ว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว มีแต่เกิดแล้วดับไปดังปรากฏแล้วนั้น แล้วใครเป็นผู้รู้ว่าร่างกายเป็นอย่างนั้น ก็จิตนี้สิเป็นผู้รู้ เมื่อสติกลับมารู้จิต จิตก็จะรวมลงเป็นหนึ่ง แสดงว่าจิตปล่อยวางร่างกายได้ตามสภาพ จึงประคองจิตให้สงบอยู่ต่อไปนานเท่าที่จะอยู่นานได้ ในขณะนั้นจะมีความรู้สึกว่า กายก็เบาจิตก็เบา ไม่หนักหน่วงเลย เมื่อได้รับความรู้สึกเบากายเบาจิตเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะไปอยู่ป่าจึงจะเหมาะสม
พอดำริที่จะออกไปอยู่ป่าเท่านั้น มาร คือ กิเลส มันก็แสดงอาการขัดขวางไม่ให้ออกไปอยู่ป่าได้ ต่อจากนั้นจึงเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นเป็นสองทาง ทางหนึ่งอยากสึกออกไปครองเรือน อีกทางหนึ่งอยากออกปฏิบัติเจริญสมถวิปัสสนาตามที่ตั้งใจไว้ พอตั้งใจจะออกป่า กิเลสก็มาสกัดไว้ไม่ให้ออกเป็นอยู่อย่างนี้ วันแล้วก็วันเล่า ไม่สามารถตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งได้ จึงตัดสินใจไม่ฉันข้าวหนึ่งวัน พอตกตอนค่ำลงเวลาประมาณสามทุ่ม ก็ห่มผ้าพาดสังฆาฏิแล้วทำวัตร เสร็จแล้วอธิษฐานในใจว่า
"บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งให้จงได้คือจะสึก หรือจะออกปฏิบัติ ถ้าหากข้าพเจ้าตัดสินใจลงทางหนึ่งทางใดไม่ได้ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เลย"
เมื่ออธิษฐานเสร็จก็นั่งขัดสมาธิ เพ่งจิตให้เข้าถึงความสงบ พอจิตสงบไปได้หน่อยเดียว นางตัณหาก็มากระซิบจิตนี้ให้สึกออกไปครองเรือนดีกว่าน่า ครั้นแล้วจิตก็ปรุงแต่งไปในเรื่องการครองเรือน คือต้องมีเมีย เมื่อมีเมียแล้วไม่นานก็ต้องมีลูก ก็ต้องแสวงหาข้าวของเงินทองมาเลี้ยงเมียเลี้ยงลูก ทีนี้การแสวงหาทรัพย์นั้น ไม่ใช่จะหาได้แต่โดยทางสุจริตเท่านั้นก็หาไม่ ต้องหาโดยทางทุจริตด้วย เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้าง ฉ้อโกง หลอกลวงเอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนบ้าง เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบาปทั้งนั้น คนเราจะอยู่ในโลกนี้ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย ครั้นตายแล้วก็จะไปตกนรกอยู่นานแสนนานกว่าจะได้พ้น พอคิดมาถึงตรงนี้ จิตก็คลายความกระสันอยากสึกลง เพราะเชื่อว่านรกมีจริง ดังที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้นั้น กลัวจะไปเสวยทุกข์อยู่ในนรกนานแสนนาน ครั้นสงบจิตไปได้หน่อยหนึ่ง มารก็มาเบียดเบียนอีกแล้ว จิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอำนาจของมารนั้น กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าไร เพราะสมัยนั้นยังไม่มีนาฬิกาใช้ ความปวดเมื่อยแข้งขาก็เป็นไปอย่างแรง แต่เราเคารพต่อความสัจที่ตั้งเอาไว้ ถ้าตัดสินใจไม่ลงทางใดทางหนึ่งโดยเด็ดขาด ก็ไม่ลุกจากที่นั่งจริงๆ ตายเป็นตาย ในที่สุดก็ตัดสินใจลงทางไม่สึกแน่นอน ได้ถามตัวเองถึงสามครั้งก็ยืนยันอยู่อย่างนั้นทั้งสามครั้ง ต่อจากนั้นจึงคลายจากสมาธิ
พอรุ่งเช้า ญาติโยมมาจังหันก็ได้ร่ำลาญาติโยมออกไปอยู่ป่า แล้วนับแต่นั้นไปก็ได้เตรียมบริขาร เช่น กลด มุ้ง เป็นต้น เสร็จแล้ว พ.ศ. ๒๔๗๕ เดือนสาม แรมสองค่ำ ก็ได้จากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ป่าที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ผาชัน" ริมแม่น้ำโขง ซึ่งใกล้กับวัดที่ตั้งอยู่เดี๋ยวนี้ ออกไปอยู่ด้วยกันสองรูป พระรูปนั้นอยู่ป่าได้ ๗ วันเท่านั้นก็กลับวัดเดิม ทั้งนี้เพราะเกิดความกลัวขึ้นอย่างแรง เพราะเกิดนิมิตร้ายที่น่ากลัวขึ้น เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนผมนั่งภาวนาอยู่ ทีแรกก็บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ครั้นไปๆ ก็เกิดความกลัวขึ้นมา จึงสาธยายเวทมนต์ที่เรียนมาแต่ก่อนนี้เพื่อป้องกันตัว ที่ไหนได้ ในขณะที่บริกรรมคาถาอยู่นั้น ก็ปรากฏเห็นเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งถือดาบเล่มหนึ่งเดินเข้ามาหา แล้วถามว่ามาทำอะไรอยู่นี่
ผมก็ได้ตอบเขาว่า อาตมากำลังภาวนาอยู่
เขากล่าวว่า ภาวนาอะไรอย่างนี้ ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน ท่านไม่ต้องเจริญคาถาอันนั้นดอก ข้าพเจ้ารู้หมดแล้ว คาถาที่เจริญนั้น จงหนีไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่หนีจะเอาดาบเล่มนี้ฟันให้ขาดเป็นสองท่อนไปเลย
ผมได้คิดว่าการสาธยายคาถานี้เห็นท่าจะไม่ได้ผล จึงหวนนึกถึงเมตตาและเจริญเมตตาว่า สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ สัพเพสัตตา อเวราโหนตุฯ สัพเพสัตตา สัพพทุกขาปมุญจันตุ พอเจริญเมตตาไปเรื่อยๆ
กษัตริย์องค์นั้นได้พูดขึ้นว่า ภาวนาอย่างนี้ถูกทาง จะอยู่ก็อยู่ไปเถิดไม่เป็นไร
แต่ถึงกระนั้นเมื่อออกจากสมาธิแล้วก็ยังไม่หายกลัว
"ผมเห็นท่าจะอยู่ไม่ได้ดอก จะกลับวัดเดิมแล้ว"
ข้าพเจ้าชี้แจงให้ฟังเท่าไรเพื่อนก็ไม่เชื่อ โดยพูดว่า "ที่แล้วมาท่านสาธยายคาถามันไปกระทบกับจิตของภูมิเทวดา ซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่นี้เข้าจึงเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านงดสาธยายมนต์เสีย ก็คงไม่มีนิมิตเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ผมเองภาวนาแต่พุทโธอย่างเดียว โดยมอบกายถวายตัวบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หมดทุกส่วนในกายอันนี้ ใครจะเอาไปชุบไปยำกินที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่เห็นมีนิมิตร้ายอะไรเกิดขึ้นเลย จิตก็สงบเยือกเย็นดี นับว่าได้ผลคุ้มค่าที่เราสละความสุขจากวัดที่เคยอยู่มาอยู่ป่าเช่นนี้ ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าดำเนินมาเป็นตัวอย่างของชาวโลกทั้งหลาย"
ในที่สุดพูดอย่างไรท่านก็ไม่ยอมอยู่ป่าต่อไป ได้กลับไปอยู่วัดตามเดิม ส่วนข้าพเจ้าได้พูดกับเพื่อนว่า "ผมเองไม่กลับไปอยู่วัดเดิมแล้ว อายชาวบ้านเขาเพราะได้ร่ำลาเขามาแล้ว ถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะสึกอยู่ในป่านี้แหละ ถ้าอยู่ได้ผู้เดียวก็จะอยู่"
เพราะตอนนั้นกำลังเกิดปีติในธรรมปฏิบัติ จิตกล้าหาญเต็มที่ไม่ได้กลัวอะไรทั้งหมด กลัวแต่กิเลสมันจะครอบงำเอาเท่านั้น จึงได้เร่งทำความเพียรโดยไม่ย่อท้อ
เมื่อได้ความมั่นใจที่จะประพฤติพรหมจรรย์ต่อไปแล้ว จึงได้แสวงหาครูบาอาจารย์ผู้พอจะแนะนำได้ ครั้งแรกก็พบกับ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน บ้านเดิมของท่านอยู่ที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านเที่ยวธุดงค์ขึ้นไปทางจังหวัดหนองคาย และได้ไปพักอยู่ที่วัดซึ่งข้าพเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้เอง แต่คราวนั้นยังไม่ได้ก่อสร้างถาวรวัตถุอะไร เป็นแต่ทำกุฏิอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้พบท่านครั้งแรกก็มีความเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน จึงได้เรียนถามอุบายภาวนาสมาธิกับท่าน ท่านก็ได้อธิบายให้ฟังจนเข้าใจได้ดี แต่ก็ไม่ได้ติดตามท่านไปในที่อื่นเมื่อท่านย้ายไป เพราะมีอุปสรรคบางอย่าง
ญัตติเป็นธรรมยุต
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ข้าพเจ้าได้พบกับ ท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ซึ่งต่อมาท่านอยู่วัดสิริสาลวัน บ้านโนนทัน อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เดี๋ยวนี้ท่านมรณภาพไปแล้วโดยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ท่านอาจารย์องค์นี้แหละ ได้พาข้าพเจ้าไปบวชเป็นพระธรรมยุตที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี เมื่อบวชเป็นพระธรรมยุตแล้ว ท่านอาจารย์ถามว่า "คุณจะศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม หรือว่าจะปฏิบัติวิปัสสนาธุระต่อไป" ตอบท่านว่า จะเอาทั้งสองอย่าง ส่วนการศึกษานั้นจะดูตามตำราเอา ท่านก็ยินดีด้วย
พรรษาแรก จำพรรษาวัดป่าสาระวารี (พ.ศ. ๒๔๗๖)
ในพรรษาแรก ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี บ้านค้อ อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งที่นั้นพระอาจารย์มั่นเคยไปจำพรรษา ได้ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ รู้สึกว่าได้ความสงบใจมาก แต่การเจริญวิปัสสนายังไม่แก่กล้า ส่วนมากได้แต่สมถะ เมื่อออกพรรษาแล้วได้เที่ยวธุดงค์ขึ้นไปจังหวัดเลย ได้ไปพักวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง รู้สึกว่าได้รับความสงบสงัดมาก
พรรษาที่ ๒ จำพรรษาวัดอรัญญวาสี (พ.ศ. ๒๔๗๗)
พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ซึ่งมี พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน เป็นหัวหน้า และ พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต เป็นรองฯ ในพรรษานี้ข้าพเจ้าตั้งใจทำความเพียรจริงๆ และได้สมาทานฉันอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือเมื่อบิณฑบาตกลับมาแล้วเทข้าวและกับใส่กะละมังจนหมด แล้วก็หยิบเอาข้าวเจ้าใส่ฝ่ามือข้างขวา พอเต็มฝ่ามือแล้วเอาลงในบาตร แล้วก็ฉันและอิ่มก่อนเพื่อนทั้งหมด เพราะอาหารมีน้อยเดียว เสร็จแล้วนั่งคอยหมู่อยู่ไม่ได้ ลุกไปก่อน เพราะมีพระวินัยห้ามเอาไว้ เมื่อพระอาจารย์ฉันเสร็จแล้วก็รีบเอาบาตรของท่านไปล้าง ทำอย่างนั้นไปตลอดจนออกพรรษา แต่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยไข้อะไรเลย เป็นแต่ร่างกายซูบผอมลงเท่านั้น เพราะอาหารน้อย แต่ก็ทำข้อวัตรปฏิบัติกับหมู่เพื่อนได้ตามปกติ ไม่มีบกพร่องแต่อย่างใด พูดถึงการทำความเพียรส่วนตัว ในพรรษานั้นได้ตั้งใจไว้ว่า ๑.จะไม่นอนกลางวัน ๒. เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร คือเดินจงกรมบ้างนั่งสมาธิบ้าง ไปจนถึงสี่ทุ่มจึงจำวัด และก่อนเวลาจะจำวัดก็กำหนดในใจไว้ว่า เมื่อนอนหลับไปถึงตีสองแล้วจะตื่นลุกขึ้นทำความเพียรต่อไปจนสว่าง โดยทำนองนี้จนตลอดออกพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็เที่ยวธุดงค์ขึ้นไปทางจังหวัดเลยอีก คราวนี้ไปบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีกเป็นครั้งที่สอง พอถึงเดือนหกก็เดินทางกลับมาเพื่อจำพรรษาที่วัดป่าบ้านค้อตามเดิม
ในระหว่างเดินทางกลับจากจังหวัดเลยมาถึงเขตจังหวัดอุดรธานี กับเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง ได้มาพักอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านนาหมี่ อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ในขณะนั้นไม่มีพระอยู่ ก็พอดีกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา บรรดาญาติโยมชาวบ้านนาหมี่ได้พากันนำดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันที่ศาลาการเปรียญ เพื่อทำพิธีเวียนเทียนตามประเพณีนิยม และเป็นการระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก เพราะพระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน สามสมัยกาลนี้ตรงกัน ซึ่งไม่มีมนุษย์ใดในโลกจะมีเช่นนี้ เหตุนั้นนักปราชญ์ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอัจฉริยบุคคลที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้เวลาแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ พอกราบพระเสร็จนั่งลงเท่านั้น ชำเลืองตาไปดูญาติโยมที่มาจนเต็มศาลาน้อยนั้น ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้น กล่าวคือ ข้าพเจ้าเหลือบตาไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่ในท่ามกลางฝูงชนนั้น ทันทีก็เกิดความรักในหญิงสาวคนนั้นทันที อันความรักในครั้งนั้นนับว่ารุนแรงมาก ซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลยตั้งแต่บวชมา มันติดผิวหนังจนขนลุกซู่ซ่า แล้วตัดเนื้อเลยเข้าหัวใจ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อันกรรมฐานที่เจริญเห็นแจ้งมาแต่ถ้ำผาบิ้งไม่ทราบว่ามันหายหน้าไปไหนหมด มีแต่รักอย่างเดียวอยู่ในหัวใจเต็มไปหมด เข้าใจว่าหญิงสาวคนนั้นสวยงามน่ารักทุกส่วนสัด ทั้งที่ไม่เคยได้พบเห็นกันมาแต่ก่อนเลย นี้แหละอันความรักนี้ เขาจึงกล่าวกันว่าไม่มีพรหมแดน เมื่อทำพิธีเวียนเทียนเสร็จแล้วได้แสดงธรรม ๑ กัณฑ์ แล้วสนทนาปราศรัยกับญาติโยมผู้เฒ่าผู้แก่พอสมควรแล้วก็เลิกกันไป ปรากฏว่าคืนนั้นทั้งคืนนอนไม่หลับเลย คิดอยากจะสึกไปแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้นอย่างเดียว แต่ก็สึกไม่ลง เพราะบางคราวก็นึกถึงกรรมฐานได้อยู่บ้าง
พอรุ่งเช้าบิณฑบาตมาฉันแล้วก็ชวนเพื่อนองค์นั้นเดินทางมาสู่สำนักเดิม คือที่วัดอรัญญบรรพตนี้เอง และได้เล่าความในใจให้เพื่อนองค์นั้นฟังโดยตลอด และว่าถ้าขืนอยู่ในที่นั้นต่อไปอีก มีหวังได้สึกแน่ๆ ครั้นมาถึงที่พักเดิมแล้ว ต่อมาความรักและความรู้สึกนั้นก็หายไปหมด แต่แล้วก็มาก่อรักใหม่ขึ้นที่บ้านตัวเอง โดยคราวนี้เขานิมนต์ไปฉันภัตตาหารในบ้านที่บ้านหม้อ พอเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้เรื่องเลย คือเกิดความรักขึ้นเหมือนคราวก่อนนั้นอีก ทั้งที่ไม่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อนเลย ได้แต่รู้จักกันเท่านั้นเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน คราวนี้เลยฉันได้น้อยเต็มที นอนก็น้อยมาก จนถึงกับตัดสินใจจะไปลาอุปัชฌาย์สึก และก็เดินทางไปจริงๆ โดยไปกับเพื่อนองค์เดิมนั้นแหละ สมัยนั้นมีแต่เดินไปอย่างเดียว เพราะไม่มีรถขี่เหมือนสมัยนี้ เดินจากที่พักนั้นไปกว่าจะถึงอำเภอท่าบ่อก็ค่ำพอดี การเดินไปในวันนั้นไปได้ช้า ทั้งนี้เพราะอ่อนเพลียมากเนื่องจากฉันไม่ได้ และนอนไม่หลับมาหลายวัน จึงเป็นเหตุให้อ่อนเพลียอย่างมาก
ในคืนนั้นเอง ได้พิจารณาเห็นความทุกข์ในโลกนี้อย่างมหันต์ทีเดียว จึงได้ปรารภกับตัวเองว่า เมื่อความทุกข์มันเป็นภัยใหญ่ของชีวิตดังนี้ ก็ไม่ทราบว่าจะสึกออกไปทำไม เมื่อบวชอยู่ก็ยังเป็นทุกข์ถึงขนาดนี้ ถ้าสึกออกไปมันจะไม่เป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านี้หรือ เพราะความทุกข์ของผู้ครองเรือนนั้นมีร้อยแปดพันอย่าง พอปรารภกับตัวเองมาถึงตรงนี้ จิตก็คลายความกระสันอยากสึกลงทันที ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่สึกละทีนี้ และในขณะนั้นอุปัชฌาย์ได้เดินทางไปอยู่ที่จังหวัดอุดรฯ จึงได้กลับมาโดยไม่ได้ติดตามไปเพื่อขอลาสึก
พรรษาที่ ๓ จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี
ต่อจากนั้นได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อีกเป็นครั้งที่สอง เป็นพรรษาที่ ๓ ในพรรษานี้ระหว่างต้นพรรษาได้ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ โดยปรารภความตายเป็นอารมณ์ ทั้งนี้เพราะจำพรรษาอยู่ในป่าช้า ก็นับว่าได้รับความเย็นใจพอสมควร พอย่างเข้าเดือน ๑๐ ได้ป่วยด้วยโรคเหน็บชาอย่างแรงถึงกับเดินไม่ได้ ออกพรรษาแล้วโยมบิดากับญาติพี่น้องได้ทราบเข้าจึงเอาเรือถ่อไปรับกลับมารักษาอยู่ ณ ที่ซึ่งเป็นวัดอรัญญบรรพตปัจจุบันนี้เอง (แต่ก่อนนั้นเป็นเพียงที่พักสงฆ์เท่านั้น) โดยล่องเรือมาตามลำน้ำโมงออกสู่แม่น้ำโขง แล้วถ่อขึ้นไปยังที่พักสงฆ์ดังกล่าว
ขึ้นชื่อว่าโรคเหน็บชาแล้ว มันทนทุกข์ทรมานจริงๆ เพราะว่ามือเท้าเป็นง่อยหมดจนเดินไม่ได้ ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย มือจะหยิบอาหารใส่ปากก็ไม่ได้ ต้องอาศัยผู้อื่นป้อนให้เหมือนเด็กแรกเกิด
การเจริญภาวนาในระยะที่ป่วยอยู่นี้ ได้กำหนดเอาทุกข์เป็นอารมณ์ เพราะว่าโรคชนิดนี้กำเริบวันละหนึ่งครั้ง กำเริบทีไรใกล้ต่อความตายทุกที แต่แล้วเมื่อยังไม่ถึงเวลาตายมันก็ฟื้นคืนมาอีก มีอยู่วันหนึ่งจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือน ๑๒ โรคได้กำเริบขึ้นเต็มที่ โดยลมพัดขึ้นเบื้องบนมาก พัดเอาเสลดขึ้นไปอุดช่องลมหายใจเข้าออกเสีย จิตถอนขึ้นมาอยู่ที่ต้นคอจวนจะตายอยู่เต็มทีแล้ว แต่ขณะนั้น มันเกิดความคิดขึ้นในใจว่า เออ วันนี้เป็นวันอุโบสถ ก่อนตายเราต้องสมาทานอุโบสถเสียก่อน ก็อธิษฐานว่า อชฺชเม อุโปสโถปัณณะระโส แปลว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำของเรา เมื่ออธิษฐานอุโบสถแล้ว ใจมันวิตกไปถึงผ้าจีวรผืนหนึ่ง เขาถวายเมื่อวันออกพรรษา ตั้งใจว่าจะให้แก่สามเณรผู้อุปัฏฐากก็ยังไม่ได้ให้ ในขณะนั้นพูดไม่ได้แล้ว ขยับตัวก็ไม่ได้เลย แต่มันรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่า เอ ทำไมจึงส่งจิตไปผูกพันกับสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสารนั้นเล่า เมื่อเราตายแล้วเขาก็แจกกันเองแหละ ไม่ต้องห่วง จึงได้กำหนดวางอารมณ์อันนั้นเสีย และมานึกขึ้นได้ว่า ถึงอย่างไรก่อนตายเราต้องฉันยาเสียก่อนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงตาย
มีต่อคะ