สมพร เทพสิทธา
ผู้ทำคุณต่อพระพุทธศาสนา
โดย ทองทิว สุวรรณทัต
นิตยสารโลกทิพย์ ฉบับที่ ๑๓ ปีที่ ๓ เดือนพฤษภาคม (ฉบับหลัง) ๒๕๒๗
เมื่อห้าสิบปีเศษที่ฝานมาภายในจังหวัดนครปฐมอันเงียบสงบร่มเย็น สมดังเป็นเมืองพุทธที่แท้จริง เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เดินตามคุณยายต้อย ๆ เข้าไปในวัด
เมื่อพระภิกษุแสดงพระธรรมเทศนาอบรมธรรมแก่อุบาสกอุบาสิกา เด็กน้อยผู้นี้ก็นั่งพับเพียบสำรวมพนมมือฟังเทศน์กับเขาไปด้วย
แม้จะรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ก็ชอบไปวัดฟังธรรมกับคุณยายเป็นประจำ ทั้งมีจิตเมตตาชอบช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ยากโดยให้อาหารแก่ขอทานบ้าง ให้สตางค์ที่เป็นค่าอาหารกลางวันแก่ขอทานบ้าง เป็นนิจสิน
เด็กผู้ชายคนเดียวกันนี้ ต่อมาได้เป็นนายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถึงหกปีติดต่อกัน ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ในพระบรมราชูปถัมภ์
นอกเหนือจากอีกสิบกว่าตำแหน่ง ที่ได้รับแต่งตั้งจากทางราชการซึ่งล้วนแต่เป็นกิจการงานเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมทั้งสิ้น
โดยเฉพาะในปี ๒๕๒๖ได้รับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอันนับได้ว่าเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่านผู้นี้
จากเกียรติประวัติที่น่าสนใจดังกล่าวมานี้ ทำให้ผู้เขียนต้องขอเข้าพบ คุณสมพร เทพสิทธาอดีตเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เมื่อห้าสิบปีก่อนผู้นั้น เพื่อจะได้นำชีวิตของท่านที่ทำคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างกว้างขวางสุดจะพรรณนาให้หมดได้ มาเสนอต่อท่านผู้สนใจในธรรม ณ โอกาสนี้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ไห้เห็นว่า คนเรานั้นสามารถที่จะกระทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม โดยสติปัญญาและกำลังเท่าที่จะมีได้อย่างอเนกอนันต์ ถ้าเขาผู้นั้นมีความตั้งใจจริงเสียอย่างเดียว
การศึกษา
คุณสมพร เทพสิทธา เกิดวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ ที่จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรของท่านขุนกสิกรพิศาลและคุณนายลิ้นจี่ เทพสิทธา
จบการศึกษาชั้นมัธยมที่ ๖ จากโรงเรียนนครปฐมวิทยาลัย แล้วมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี พร้อมกับสมัครเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จนได้ปริญญาบัญชีบัณฑิต และธรรมศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่ง แล้วได้รับทุน ก.พ.ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาตามความต้องการของกรมการค้าต่างประเทศได้ปริญญาโท ทางการบริหารธุรกิจ สาขาการค้าต่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
เริ่มแรกที่ชักจูงให้คุณสมพร เทพสิทธา เกิดศรัทธาในพระศาสนา สืบเนื่องมาจากผู้ใหญ่ของครอบครัว ล้วนแต่เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ไปด้วยการประพฤติและปฏิบัติ
นับแต่ท่านบิดาที่เคยอุปสมบทอยู่ในสมณเพศมาเป็นเวลานาน และท่านมารดากับคุณยายก็เข้าวัดฟังเทศน์พังธรรมเป็นเนืองนิจ ทั้งมิจิตศรัทธาในการบุญเสมอมา
คุณสมพรซึ่งติดตามผู้ใหญ่ไปวัดวาอยู่ทุกครั้ง ก็ได้รับการอบรมกล่อมเกลามาแต่เยาว์วัยให้มีใจศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
ชั้นปัญญาชนก็ยังไม่เข้าใจ
ต่อมาเมื่อเติบโต ได้ศึกษาอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้สนใจในพระศาสนายิ่งขึ้นเห็นหนังสือธรรมะเป็นไม่ได้ต้องหยิบขึ้นอ่านทันที
ทั้งพยายามปฏิบัติตนให้อยู่แต่ในศีลในธรรม ไม่ยอมประพฤติออกนอกลู่นอกทางเป็นอันขาดจนเพื่อน ๆ พากันเรียกว่า ท่านมหา บ้าง ทิด บ้า
และบางคนก็พบว่า คุณสมพรคงจะผิดหวังในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาแล้ว จึงหันมาสนใจในธรรมะธรรมโมเช่นนี้
แต่คุณสมพรก็หาได้เอาคำพูดมาเป็นอารมณ์ไม่ แต่กลับไปนึกในอีกทางหนึ่ง นั่นก็คือ
มีความห่วงใยในพระพุทธศาสนาขึ้นมาเป็นอย่างมาก เพราะแม้แต่นิสิตนักศึกษาที่เป็นคนไทยชั้นปัญญาชนยังไม่เข้าใจในพระศาสนาอย่างแท้จริง
อุปัชฌาย์ ๑๐๑ ปี
ครั้นเมื่อครบปีบวช คุณสมพรได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐมโดยมี พระเทพเจติยาจารย์ เป็นอุปัชฌาย์ ซึ่งปัจจุบันมีอายุได้ ๑๐๑ ปี
เป็นพระภิกษุที่มีอายุมากที่สุดในขณะนี้ก็ว่าได้ คุณสมพรบอกผู้เขียน
แม้อายุท่านจะมากขนาดนี้แต่ความจำดีเหลือเกิน ไม่มีหลง ผมไปกราบมนัสการทุกปีก็ยังจำผมได้ ยังระลึกถึงผม ยังพูดถึงผมอยู่เสมอ ท่านสุชีโวภิกขุ ก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน"
จากการอุปสมบทครั้งนี้ คุณสมพรกล่าวว่า
ตลอดเวลาสามเดือนที่ผมบวชอยู่นี้ ได้รับอะไรมากมายเหลือเกิน ท่านอุปัชฌาย์ท่านสอนทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ
ได้ฝึกนั่งกรรมฐาน โดยลุกขึ้นมาทำสมาธิในเวลาตี ๔ ของทุกวัน มิได้ขาดด้วยวิธีอานาปานสติ จับลมหายใจเข้าออก ภาวนา พุท-โธเรื่อยไป....
สำคัญที่ใจสงบ
และก็ด้วยการปฏิบัติภาวนากรรมฐานในครั้งนี้ ความสงสัยที่เคยมีอยู่ว่า
ชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่?
สวรรค์มีจริงหรือไม่? ก็ได้รับคำตอบไปในตัว
ผมจึงเชื่อว่า ชาติหน้ามีจริง! สวรรค์มีจริง! คนเราตายไปแล้วต้องเกิด เชื่อในกฎแห่งกรรม
ผู้ใดทำสิ่งใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว และทำให้ผมได้รับคำตอบเกี่ยวแก่ชีวิตดีที่สุดว่า
ความสำคัญของชีวิตมิใช่ขึ้นอยู่ที่เงิน ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สมบัติแต่อยู่ที่จิตใจที่สงบ เท่านั้น !
ระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ คุณสมพรได้อ่านหนังสือเรื่อง ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ของ ท่านสุชีโวภิกขุ หนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุ ก็ยิ่งทำให้สนใจในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น
ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนาอยู่มาก ก็เลยตั้งปณิธานว่า เมื่อสึกออกมาแล้ว จะขอทำงานรับใช้พระศาสนาตลอดไป
ยุวพุทธิก
และก็ด้วยปณิธานดังกล่าว ประกอบกับความห่วงใยในพระศาสนา คุณสมพรกับหมู่คณะซึ่งมีคุณเสถียร โพธินันทะ คุณบุญยง ว่องวาณิช ฯ ได้ร่วมใจกันตั้งเป็นกลุ่มยุวพุทธิกะ
มีการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านธรรมะต่าง ๆ โดยท่านสุชีโวภิกขุได้ให้การสนับสนุนโดยให้จัดมีขึ้นภายในวัดกันมาตุยาราม
และต่อมาได้ร่วมใจกันตั้งเป็นสมาคมของกลุ่มหนุ่มสาว ให้ชื่อว่า ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นสมาคมแรก โดยมีคุณบุญยง ว่องวาณิช เป็นนายกสมาคม
ทั้งนี้เข้าใจว่า คำว่า ยุวพุทธิก ซึ่งหมายถึง ชาวพุทธที่ยังเยาว์นี้ ท่านสุชีโวภิกขุจะเป็นผู้ตั้งชื่อให้
คำว่าเยาว์ในที่นี้ เราหมายถึงเยาว์ในวัย เยาว์ในความรู้ ผมเองเป็นยุวพุทธิกจนอายุ ๕๘ ก็ยังเป็นยุวพทธิกอยู่ จนคนเขาล้อว่า น่าจะป็นชราพุทธิก ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร ยังหาคนมาแทนไม่ได้" คุณสมพรบอกพลางหัวเราะ
ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยนั้นมีหน้าที่ส่งเสริมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะในบรรดาเยาวชน เพื่อให้เยาวชนมีความรู้ มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวแก่พระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรม ร่วมทำนุบำรุงส่งเสริมและพิทักษ์พระศาสนา
๖ ปีที่ติดต่อ
เมื่อครั้ง คุณบุญยง ว่องวณิชเป็นนายกสมาคมคนแรก ในปีที่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น คุณสมพร มิได้ช่วยกิจการของสมาคมเท่าใดนัก เพราะต้องออกเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ และได้กลับมาในปี ๒๔๙๕
ครั้นถึงปี ๒๔๙๕ คุณสมพรเทพสิทธา ได้รับเลือกเป็นนายกยุวพุทธกสมาคมแห่งประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลาถึง ๖ ปี
"ตอนแรกผมยังจำได้ ยุวพุทธิกสมาคม จัดพิมพ์หนังสือพุทธประวัติประกอบภาพ ๗ เล่มด้วยกัน พิมพ์อยู่หลายครั้ง เราเอาไปเผยแพร่ตามโรงเรียนต่าง ๆ นักเรียนชอบกันมาก
ได้คุณเสถียร โพธินันทะเป็นกำลังสำคัญ เพราะคุณเสถียรพูดเก่ง เป็นเด็กที่พูดแล้วผู้ใหญ่ต้องฟัง ความจำดีเลิศ คำพูดสละสลวยเหมือนตัวหนังสือ จึงได้รับเชิญไปพูดในที่ต่าง ๆ
พอไปพูดก็เอาหนังสือไปจำหน่ายทุกครั้ง แล้วเราจัดให้มีบรรยายธรรมที่วัดกันมาตุยารามทุกวันอาทิตย์ตอนบ่าย คุณเสถียรเป็นผู้บรรยายธรรม ตอบปัญหาธรรม มีคนเข้าฟังวันละเป็นจำนวนพัน ๆ คน
พอคุณเสถียรพูดเสร็จ เราก็เอาเรื่องที่พูดไปพิมพ์ด้วย ทั้งมีการตั้งชมรมพุทธศาสนาตามโรงเรียนต่าง ๆ
ตอนนั้นทางสมาคมมีรถยนต์กับเขาคันหนึ่ง เราก็เอารถออกต่างจังหวัดไปเผยแพร่พระศาสนา ไปพูด ไปบรรยาย ตามแต่จะได้รับเชิญมา เรียกได้ว่า เราทำงานกันอย่างจริงจัง.ทำงานอย่างสนุกไม่มีเบื่อหน่าย ท้อถอยกันเลยครับ คุณสมพรเล่าให้ฟัง
ก็และการทำงานด้วยความสนุกสนาน จริงจัง ไม่ท้อถอยเบื่อหน่ายของคณะกรรมการยุวพุทธิกสมาคมเช่นนี้ กรมการศาสนาจึงได้เห็นความสำคัญ ได้ช่วยทางด้านการเงินแก่สมาคมฯ นับตั้งแต่นั้น และต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับไว้ไนราชูปถัมภ์
สภายุวพุทธิก
ปัจจุบันยุวพุทธิกสมาคมได้ขยายออกไปถึง ๕๐ กว่าสมาคมในจังหวัดต่าง ๆ และในปี ๒๕๐๓ ได้มีการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศขึ้นที่จังหวัดสงขลา
ที่ประชุมได้มีมติให้จัดตั้งสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติขัน เพื่อเป็นศูนย์รวมของยุวพุทธิกสมาคมทั้งหมดภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้ตั้งอยู่ที่ ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ วัดเบญจมบพิตร
คุณสมพร เทพสิทธา ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ตั้งแต่ปีนั้น จนกระทั่งปัจจุบัน
สมาธิไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อหันมาพูดเรื่องการทำสมาธิอีกครั้ง คุณสมพร เทพสิทธากล่าวว่า
มีคนส่วนมากเข้าใจว่า การทำสมาธิเป็นเรื่องที่ปฏิบัติยากจะต้องไปอยู่วัดอยู่วา จะต้องละต้องทิ้งอะไรให้หมด เป็นการเข้าใจผิดแท้ ๆ
ความจริงเรื่องของสมาธิเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันนี่เอง
เพราะปกติธรรมดาเราต้องมีสมาธิกันอยู่แล้ว เช่น อ่านหนังสือก็ต้องมีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิจะอ่านรู้เรื่องได้อย่างไร ทำงานก็ต้องมีสมาธิ มิเช่นคนงานก็จะผิดพลาดหมด แต่สมาธิที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงสมาธิอ่อน ๆ
ผมยังจำได้ว่า ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งมีการประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ปี ๒๕๒๕ ที่ พระราชวังสวนจิตรลดาพระองค์ได้รับสั่งเป็นเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง ได้ทรงรับสั่งถึงเรื่องสมาธิว่า
"สมาธิ ไม่ใช่เป็นเรื่องยากอะไร เป็นเรื่องที่เราจะด้องทำ และทุกคนก็มีอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้น
แต่ถ้าเรามีน้อย เราก็เอาสมาธิที่มีน้อยไปหาสมาธิที่มากและยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนเรามีไม้ขีดหรือไฟฉาย แล้วเราเอาไม้ขีดหรือไฟฉายนี่ เข้าไปในห้องที่มันมืดคลำหาสวิตช์เพื่อเปิดไฟฟ้า!"
น่าลองดู
สำหรับคุณสมพร เทพสิทธาเองนั้น แม้จะมีราชการ งานจรมัดตัวจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน แม้กระทั่งวันเสาร์-วันอาทิตย์ก็ต้องเดินทางไปบรรยายตามจังหวัดต่าง ๆ มิได้หยุดหย่อน
ถึงกระนั้น คุณสมพรก็จะเจียดเวลาก่อนจะเข้านอน หันมาไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิทุกค่ำคืน ทั้งก่อนจะไปทำงานในตอนเช้ามืดก็จะไหว้พระสวดมนต์แล้วเจริญสมถภาวนา อีกครั้งหนึ่ง
ถ้าใครปฏิบัติได้ จะมีจิตเยือกเย็น ไม่รุ่มร้อนกระวนกระวาย แม้จะมีเรื่องราวอุปสรรคใด ๆ ก็จะค่อยพิจารณาหาทางแก้ไขด้วยความมีสติ
เละอีกประการหนึ่ง ถ้าเราปฏิบัติสมาธิอยู่เสมอแล้ว แทนที่จะไปนั่งมองความผิดของผู้อื่นกลับหันมาพิจารณาตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถูกต้องกับหลักธรรมของพระพุทธองค์ ผมเห็นว่าผู้ไม่เคยปฏิบัติน่าจะปฏิบัติดู ทดลองดู
พระต้องปฏิบัติ
เมื่อผมใช้เวลาทำกรรมฐานตลอดเวลา ๓ เดือนที่ผมอุปสมบทอยู่นั้น ผมจึงได้เห็นความจริงอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ
พระภิกษุที่เรียนแต่ปริยัติไม่ได้ปฏิบัติ มักจะสึกออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าท่านจะลองหันไปปฏิบัติแล้ว ผมเชื่อว่าท่านคงจะไม่อยากสึกอย่างเด็ดขาด
ผมเองบวชแล้วมีความดื่มด่ำในพระศาสนาเป็นอย่างมาก เกือบจะไม่ได้สึกออกมาแล้ว คุณสมพรพูดอย่างจริงใจ
พระท่านมัวแต่มุ่งปริยัติ ไม่ไต้ปฏิบัติ ก็เลยไม่ได้ปฏิเวธ
มุ่งช่วย
สำหรับตัวผมเองนั้น ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ดื่มด่ำในรสพระธรรมเป็นอย่างยิ่ง พอสึกออกมาผมก็เขียนหนังสือชื่อว่า ชาติหน้าและสวรรค์มีจริงหรือไม่?
โดยไปให้ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ช่วยตรวจ และขอความกรุณาจากท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เขียนคำนำให้ แล้วพิมพ์แจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่รักใคร่นับถือก่อนจะไปนอก
เมื่อได้กล่าวถึงอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์นั้น ก็อยากจะพูดว่า ผมเคารพนับถือท่านมาก
เมื่อครั้งเรียนกฎหมายกับท่านในสมัยนั้น ท่านเป็นเลขาธิการพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ผมยังเคยคิดว่า ท่านอาจารย์เป็นเลขาธิการพุทธสมาคม วันหนึ่งผมคงจะได้เข้าไปเป็นกรรมการพุทธสมาคม ไปทำงานเรื่องพระศาสนากับเขาบ้าง คุณสมพรเล่าถึงความหลัง
วิชาศีลธรรม
จากการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะทำงานปรับปรุงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายของกระทรวงศึกษาธิการ ได้ช่วยแก้ไขหลักสูตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยบรรจุวิชาศีลธรรมไปในหลักสูตรด้วย
เท่าที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการละเลยวิชาศีลธรรมมาหลายปี ไปเอาคำ จริยธรรม มาใช้แทน ซึ่งเป็นจริยธรรมสากล เอาหลักธรรมของศาสนาสากลต่าง ๆ มารวมกัน
ไม่มีการเรียนประวัติของพระพุทธเจ้า ไม่มีการเรียนถึงหลักธรรมะ ทำให้เยาวชนของเราไม่รู้เรื่องในพระพุทธศาสนา เพราะนักวิชาการที่ไปศึกษาต่างประเทศ ไปหลงความรู้ของต่างประเทศ
ผมได้พยายามต่อสู้ ให้เยาวชนต้องเรียนวิชาศีลธรรม ต้องมีความรู้ในพระพุทธศาสนา อย่าทิ้งหลักธรรมะ ต้องเรียนประวัติของพระพุทธเจ้า
และท่านปลัดกระทรวง อาจารย์สมาน แสงมะลิ ท่านเห็นชอบด้วย ให้ตั้งคณะกรรมการปรับปรุงหลักสูตรวิชาสังคมศึกษาว่าด้วยพุทธศาสนา โดยเชิญผมไปร่วม แล้วก็มีท่านเจ้าคุณโสภณคณาภรณ์ ท่านเจ้าคุณราชวรมุนี พระเทพโสภณ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพไปช่วยกันคิดแก้ไขปรับปรุงจนเรียบร้อยประกาศใช้แส้วครับ คุณสมพรเล่าให้ฟังอย่างละเอียด
กรรมใด...ใครก่อ
นอเกจากนี้ คุณสมพร เทพสิทธา ยังเป็นประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมความรู้ทางศาสนาแก่เยาวชน จึงได้จัดให้มีการทำหนังสือส่งเสริมการอ่านเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเลือกเอาเรื่องที่เกี่ยวแก่พระพุทธศาสนามาพิมพ์ให้นักเรียนอ่าน
ผมมีความยินดีที่จะเรียนให้ทราบว่า ดร.เย็นใจ เลาหวณิชย์ ได้นำเรื่องกฎแห่งกรรม (กรรมใด...ใครก่อ) ใน.โลกทิพย์ มาเสนอเป็นหนังสือให้นักเรียนอ่าน เพราะเห็นว่า เรื่องที่ลงใน โลกทิพย์ มีประโยชน์มาก
การที่คนเราไปทำบาปก็เพราะขาดหิริโอตัปปะ ไม่เชื่อว่า ตายแล้วเกิด คิดว่า ไปทำบาปกรรม คนไม่รู้ ไม่เป็นไร ถึงได้มีการพูดกันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป ซึ่งมันผิด จึงพยายามเผยแพร่เรื่องกฎแห่งกรรม ให้ไต้อ่านทั่ว ๆ กัน คุณสมพรบอก
มีต่อคะ